AEl5Nk.gif AEl5Nk.gif


เหตุเกิดที่โรงแรมblPdyV.gif
โดย Tom Mm

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
29/07/66

เต้ยกับพี่ติ่ง blPdyV.gif
โดย ตฤษณา

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

ผิดที่เมย์เองเลยโดนจับขึงพืดblPdyV.gif
โดย Uratarou

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

ฝึกงานที่บริษัทขายหมู่บ้านจัดสรรblPdyV.gif
โดย 子翔吳

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

พ่อเลี้ยงของหนู EP1blPdyV.gif
โดย Ken Ken

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Copy บันทึกคัมภีร์มหัศจรรย์ ตอน15 คำสัญญา

Copy บันทึกคัมภีร์มหัศจรรย์ ตอน15 คำสัญญา

บทประพันธ์ nookyloveCopy บันทึกคัมภีร์มหัศจรรย์ ตอน15 คำสัญญา บทประพันธ์ ท่าน nookyloveบันทึกคัมภีร์มหัศจรรย์ ตอน15 คำสัญญาท่ามกลางฝนที่ซัดสาดลงมาราวกับฟ้ารั่ว เงาร่างสีดำทะมึนโยนตัวไปมาระหว่างกิ่งขนาดใหญ่ของต้นไม้ที่มีอายุนับร้อยปีต้นแล้วต้นเล่า ระหว่างที่แสงฟ้าแล่
บก่อนจะตามมาด้วยเสียงสนั่นของฟ้าผ่าเผยให้เห็นร่างอรชรบอบบางในวงแขนกำยำเต็มไปด้วยขนหยาบยาวรุงรังที่เปียกลู่จากหยาดฝน เรือนกายใหญ่โตเกินกว่าวานรทุกชนิดที่มนุษย์ได้เคยพบเห็นหากแต่ปราดเปรียวยิ่งนัก จังหวะการโหนตัวพุ่งจากกิ่งไม้ใหญ่จากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งคล่องแคล่วรวดเร็วราวกับว่าขนาดอันใหญ่โตไม่เป็นอุปสรรคสักนิด ขณะที่ร่างวานรยักษ์นั้นกำลังลอยอยู่กลางอากาศ พลันมันก็ส่งเสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดเมื่อร่างพุ่งเข้าปะทะกับกำแพงที่มองไม่เห็น ร่างทะมึนที่กำลังชะงักอยู่กลางอากาศก่อนจะร่วงจากความสูงหลายสิบเมตร มันจึงจำเป็นต้องปล่อยร่างที่อยู่ในวงแขนตามสัญชาติญาณเอาตัวรอดแล้วพยายามไขว่คว้ากิ่งไม้ใกล้ตัวแทน ส่วนร่างบอบบางที่ลอยละลิ่วลงจากยอดไม้นั้นไม่ได้สติแต่ดูเหมือนดวงชะตาของเธอยังไม่ถึงฆาต เมื่อร่างนั้นแทบจะไม่ได้กระทบกิ่งไม้ใหญ่เลยระหว่างที่ร่วงลงมามีเพียงกิ่งเล็กๆที่สร้างเพียงรอยขีดข่วนบางๆเท่านั้น เพียงแต่หากตกลงมาด้วยความสูงขนาดนั้นก็คงไม่แคล้วจากความตายไปได้ ในไม่กี่วินาทีที่ร่างกำลังจะกระทบกับพื้นป่าสองแขนแข็งแกร่งก็รองรับร่างของเธอไว้อย่างนุ่มนวลราวกับปาฏิหาริย์ เสียงคำรามก้องป่าอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากยอดไม้ ทำให้ผู้มาใหม่ต้องละความสนใจจากร่างในอ้อมแขนตอนนี้เงยหน้าขึ้นไปมองทโมนไพรร่างยักษ์อย่างแปลกใจ ไม่ใช่แปลกใจในขนาดอันใหญ่โตแต่แปลกใจที่มันมาปรากฏตัวในดินแดนแถบนี้ได้อย่างไร เมื่อตาสองคู่ประสานกันเจ้าร่างใหญ่ขนยาวก็เป็นฝ่ายคำรามทิ้งท้ายก่อนจะโหนตัวจากไป เขาจึงหันกลับมาสนใจร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขนอีกครั้ง เมื่อเพ่งมองก็บอกได้ทันทีจากการแต่งกายว่าไม่ใช่สาวชาวป่าแน่นอน จึงตัดสินใจพากลับหมู่บ้านเพื่อตรวจดูบาดแผลให้แน่ใจอีกทีเสียงทักทายพูดคุยกันยามเช้าและเสียงจากการทำงานปลุกให้ร่างที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่ใช้ต่างเตียงลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง เมื่อสายตาปรับภาพได้ชัดเจนแล้ว ชุดที่ใส่อยู่ก็ไม่ใช่นี่เคยใส่แต่ดูเหมือนเป็นชุดชาวบ้านพื้นเมือง ยังไม่ทันได้คิดถึงเหตุใดเธอจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ประตูกระท่อมก็ถูกเปิดออก ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามายิ่งทำให้หญิงสาวประหลาดใจมากขึ้นเมื่อคนที่เข้ามานั้นเป็นชายหนุ่มชาวตะวันตกทักทายเธอเป็นภาษาอังกฤษ แถมยังแนะนำตัวเองว่าเป็นหมอ จากนั้นก็ถามอาการเบื้องต้นของเธอก่อนจะจับชีพจรตรวจดูคร่าวๆ เมื่อได้ผลเป็นที่พอใจแล้วจึงออกไป เมื่ออยู่ลำพังเธอจึงได้มีเวลาคิดทบทวนเรื่องราวอีกครั้ง หลังจากดึงดันดื้อแพ่งจะขอติดตามพันโทศาสตร์ว่าที่คู่หมั้นมาเที่ยวป่า เพราะเธออยากจะรู้นักว่าทำไมพวกผู้ชายถึงได้ชอบเข้าป่าล่าสัตว์ทำร้ายชีวิตอื่นด้วยความสนุกสะใจ แถมยังยิ่งชื่นชมยกย่องผู้ที่ฆ่าได้มากโดยเฉพาะสัตว์ใหญ่อย่างพวกกระทิง เสือ ช้าง อีกอย่างเธอทำเพื่อประท้วงคุณพ่อคุณแม่ที่เธอเรียนจบกลับจากอังกฤษได้ไม่นานก็จับคู่ให้กับนายทหารหนุ่มอนาคตไกลเชื้อสายตระกูลขุนนางทหารเก่าแก่ ด้วยเหตุผลที่ว่าเหมาะสมและผู้ใหญ่สองฝ่ายต่างก็เห็นชอบ เธอจึงอ้างเหตุผลในการขอติดตามเข้าป่ามาด้วยว่าต้องการเรียนรู้ว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไร จะปกป้องคุ้มครองเธอได้ไหม ตอนแรกฝ่ายผู้ใหญ่ต่างก็ไม่มีใครเห็นด้วยที่จะให้เธอตามมาแต่เพราะว่าที่คู่หมั้นของเธอยืนยันว่าเขาสามารถดูแลเธอได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะต้องการทำคะแนนให้เธอยอมรับในตัวเขาก็เป็นได้ เดิมทีคิดว่าจะเป็นการเข้าป่าล่าสัตว์ที่แผ่นดินไทย แต่ว่าที่คู่หมั้นของเธอบอกว่าป่าในประเทศไทยเขาเข้าออกจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้วจึงอยากลองหาความท้าทายใหม่ๆที่ยังไม่เคยไปและน้อยคนนักจะได้ไปแถมยังอุดมสมบูรณ์กว่ามาก ดังนั้นคณะของเธอจึงได้ข้ามฝั่งสาละวินมายังผืนป่าแห่งนี้โดยได้รับการช่วยเหลือจากนายทหารของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นเพื่อนกับว่าที่คู่หมั้นของเธอ ในช่วงวันแรกๆพรานนำทางชาวกระเหรี่ยงนำคณะไปยังจุดที่สัตว์ป่าชุกชุม จนเดินทางลึกเข้ามาเรื่อยๆ จนเธอสังเกตว่านี่ไม่น่าจะเป็นการเข้าป่าล่าสัตว์ธรรมดาเพราะเหมือนมีจุดหมายบางอย่างการเดินการหยุดพักเป็นเวลาไม่คล้ายกับการท่องเที่ยวล่าสัตว์เพื่อความสนุก จนกระทั่งเมื่อเย็นวานฝนเทกระหน่ำท้องฟ้ามืดมิดพรานนำทางเร่งให้คณะรีบขึ้นที่สูงเพราะเกรงจะเจอน้ำป่า ด้วยที่ตั้งแคมป์ของคณะอยู่ไม่ไกลจากทางน้ำเพื่อความปลอดภัย ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้เกิดความวุ่นวายไม่น้อย พวกลูกหาบต่างเก็บข้าวของอย่างทุลักทุเลรีบเร่งขึ้นพื้นที่สูง ขณะที่ทุกคนต่างวุ่นวายกันอยู่นั้น เธอก็รู้สึกถึงความร้อนด้านหลัง และลมหายใจร้อนๆเป่าอยู่บนศีรษะยังไม่ทันจะหันไปมองเสียงคำรามจนสมองอื้ออึงก็ดังขึ้นจากนั้นแขนยาวเต็มไปด้วยขนรุงรังก็โอบรัดตัวเธอพาร่างลอยขึ้นจากพื้นดินเฉอะแฉะแล้วเธอก็ไม่ได้สติอีกเลยจนมาถึงตอนนี้เมื่อหญิงสาวเดินออกมาจากกระท่อม ก็พบชายชาวตะวันตกที่บอกว่าเป็นหมอกำลังคุยกับผู้ชายอีกคนหนึ่งไม่ไกลนัก ลักษณะการแต่งกายดูคล้ายกับชาวบ้านทั่วไปส่วนสูงเตี้ยกว่าคุณหมอหนุ่มราวคืบหนึ่งทั้งคู่ยืนหันหลังให้เธอจึงไม่ได้เห็นว่าคนที่ยืนคุยกับคุณหมอหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก็เพียงไม่นานดูเหมือนทั้งคู่จะรู้สึกตัวว่ามีคนยืนมองอยู่ข้างหลังจึงหันมา หมอหนุ่มยิ้มทักทายให้เธอแล้วหันไปพูดกับชายหนุ่มข้างตัวอีกสองสามประโยคแล้วจึงโบกมือเดินจากไป ชายหนุ่มคนนั้นจึงก้าวเข้ามาหาเธอแล้วพูดบางอย่างเป็นภาษาที่เธอไม่เข้าใจ“ คุณดีขึ้นหรือยัง “ ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นถามเธอด้วยภาษาอังกฤษ“ เอ่อ ค่ะดีขึ้นแล้ว “ หญิงสาวตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน พลางสังเกตลักษณะของชายหนุ่มตรงหน้า ดูแล้วน่าจะเป็นคนเอเชียเพียงแต่ระบุไม่ได้ว่าเป็นคนชาติไหน จะว่าเป็นกระเหรี่ยงก็ไม่น่าใช่เพราะดูไม่คล้ายกับที่เธอเคยพบมา ใบหน้าคล้ายกับรวมด้วยหลากเชื้อชาติ จมูกโด่ง เบ้าตาค่อนข้างลึก ออกไปทางคนเอเชียตะวันตกมากกว่า ผมสีดำ แต่ดวงตากลับเป็นสีน้ำตาลใบหน้าเรียวได้รูปรับกับคางเหมาะเจาะ ดุจสร้างโดยปฏิมากรเอก ไหล่หนาบ่ากว้าง ส่วนสูงของเธอประมาณคางของเขาเท่านั้น หญิงสาวมัวหลงอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ทันฟังที่ชายหนุ่มพูด จนเขาแตะที่ข้อศอกเธอเบาๆอย่างสุภาพ“ คุณคงหิวแล้ว เชิญทางนี้เถอะ “ ชายหนุ่มบอกและผายมือเชิญเธอให้เดินตาม หญิงสาวจึงเดินตามเขาไปขึ้นเนินค่อนข้างชัน เขาจึงยื่นมาให้ให้เธอจับก่อนจะพาเดินไต่ขึ้นไปอย่างมั่นคง เมื่อทั้งคู่พ้นเนินมาแล้วก็พบเห็นบ้านเรือนอีกหลายหลังแต่ละหลังสร้างด้วยวัสดุเหมือนกันหลังคาและฝาบ้านมุงด้วยใบหญ้าและฟาง ตัวบ้านยกสูงจากพื้นดินราวเมตรเศษ ชายหนุ่มพาเธอเดินผ่านบ้านอีกหลายหลังจนมาถึงเพิงขนาดใหญ่เปิดโล่งไร้ผนัง มีเพียงหลังคาไว้กันแดดกันฝนก็พบกับคุณหมอหนุ่มนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ขนาดใหญ่ โดยมีสตรีชาวตะวันตกนั่งข้างๆ ที่บอกได้เพราะสังเกตจากผมสีน้ำตาลแกมแดงยาวแต่ถูกมัดรวบไว้กลางหลัง ชายหนุ่มพาเธอมานั่งที่แคร่ไม้ก่อนจะเดินไปยังเตาไฟที่มีหม้อขนาดใหญ่ตั้งอยู่“ เมื่อเช้าผมลืมแนะนำตัว ผมโยฮัน นี่ภรรยาผม โจแอนนา ผมเป็นคนเยอรมันน่ะส่วนเธอฝรั่งเศส “ หมอหนุ่มแนะนำตัวและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง โจแอนนาก็ยื่นมือมาให้จับแล้วยิ้มให้อย่างมีมารยาท“ ฉันอำไพค่ะ เป็นคนไทย “ หญิงสาวแนะนำตัวบ้าง หมอหนุ่มร้องโอ้อย่างแปลกใจยังไม่ทันจะพูดอะไร ชามที่ใส่ข้าวต้มร้อนๆหอมกรุ่นก็ถูกยกมาวางข้างหน้าเธอ หญิงสาวหันไปขอบคุณแล้วมองลงไปในชามไม้ตรงหน้า“ ผมก็เรียกไม่ถูกว่าข้าวต้มอะไร เพราะเขาใส่ทั้งเผือก มัน เนื้อสัตว์ แต่คุณลองชิมก่อนเถอะรสชาติดีทีเดียว “ เสียงพูดเป็นภาษาไทยอธิบาย หญิงสาวหันไปมองอย่างแปลกใจ ส่วนคู่สามีภรรยาชาวตะวันตกยิ้มอย่างถูกใจ“ ผมก็คนไทยครับ ชื่อ ดา เอ่อ ขอโทษผมไม่รู้จริงๆว่าคุณเป็นคนไทย “ ชายหนุ่มรีบขอโทษเพราะได้รับค้อนจากหญิงสาวมาวงนึง“ ฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนไทยเหมือนกัน “ อำไพพูดกึ่งจริงกึ่งประชดเพราะเขาก็ไม่คล้ายคนไทยเหมือนกัน สองสามีภรรยาพากันหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะขอโทษแล้วเอ่ยขอตัวปล่อยให้ทั้งคู่นั่งทานอาหารเช้าต่อไป“ คู่นั้นเขาฟังภาษาไทยรู้เรื่องน่ะ พูดได้นิดหน่อย โยฮันเขาเป็นหมอจากเยอรมันส่วนแอนนาเป็นนักพฤษศาสตร์ “ ดา อธิบายหลังจากทั้งคู่เดินจากไปแล้ว ซึ่งหญิงสาวรับฟังอย่างตั้งใจเพราะดูจากการพูดจาแล้วชายหนุ่มน่าจะมีความรู้ไม่น้อย แถมยังพูดได้หลายภาษาอีกต่างหาก“ ส่วนผมงูๆปลาๆไปเรื่อยๆไม่ได้จบอะไรกับเขาหรอก รีบทานเถอะเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน “ ชายหนุ่มพูดต่อ ราวกับอ่านใจเธอได้ อำไพจึงลงมือจัดการกับอาหารเช้า เมื่อทานอาหารเก็บชามไปล้างเสร็จชายหนุ่มจึงพาเธอออกเดินอีกครั้ง“ คุณจำอะไรได้บ้างไหม “ ชายหนุ่มถามราวกับว่าเธอความจำเสื่อม ทำให้เธอทั้งโกรธทั้งขำ“ ฉันไม่ได้ความจำเสื่อมนะคะ รู้ตัวเองดีว่าเป็นใครมาจากไหน “ อำไพตอบไปอย่างฉุนๆ“ อ่อ ผมขอโทษบางทีผมอาจจะใช้คำถามได้ไม่ดีพอ คือผมหมายถึงคุณจำเหตุการณ์ที่ถูกจับตัวมาได้ไหม “ ชายหนุ่ม เอ่ยขอโทษและอธิบายชัดๆให้เธอเข้าใจ หญิงสาวคาดว่าเขาคงไม่ได้ใช้ภาษาไทยมานานพอดู“ อืม ใช่ฉันถูกตัวอะไรไม่รู้ลักพาตัวมาจากแคมป์ตอนที่ฝนตกหนักแล้วทุกคนกำลังวุ่นวาย คุณรู้ไหมว่ามันเป็นตัวอะไร “ อำไพ ทบทวนความจำก่อนจะเล่าให้ชายหนุ่มฟังคร่าวๆ“ คุณอำไพเคยอ่านเรื่องรามเกียรติ์หรือเปล่าครับ “ ชายหนุ่มตั้งคำถามแทนคำตอบทำเอาหญิงสาวงุนงง“ ก็เคยฟังนิทานมาบ้าง เรื่องที่ยักษ์ลักพาตัวนางเอกแล้วพระเอกยกทัพไปช่วยใช่ไหมคะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของฉันล่ะ “ เธอตอบเขาไปตามที่เคยฟังมาตอนเด็กๆ“ ใช่ เรื่องนั้นแหละ ก็ตัวที่ลักพาตัวคุณจากที่พัก ไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อไหมถ้าผมจะบอกว่าเป็นเชื้อสายของพวกทหารพระราม “ ชายหนุ่มอธิบาย ฟังดูเหลือเชื่อสำหรับเธอที่ผ่านโลกศิวิไลมาหลายปีแต่ดูท่าทางของเขาแล้วไม่ดูเหมือนล้อเล่นสักนิด“ คุณจะบอกว่ามียักษ์มาลักพาตัวฉันหรือคะ “ อำไพ ถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ชายหนุ่มนี่สิกลับหลุดขำชวนให้หมั่นไส้ โดยที่เธอไม่รู้ตัวเองเลยว่าปล่อยไก่ออกไปหมดเล้า“ ลิงครับ ทหารพระรามเป็นลิง “ ชายหนุ่มอธิบายทั้งที่ยังขำอยู่ จนหญิงสาวอยากจะซัดสักทีด้วยความอายปนโมโห“ ก็ฉันเคยฟังมาตอนเด็กๆนี่ คุณจะขันอะไรนักหนา “ อำไพต่อว่าทั้งหน้าแดงจากความอาย จนชายหนุ่มรีบหยุดขำเพราะกลัวหญิงสาวจะงอนเสียก่อน“ แล้วมันจะจับตัวฉันไปทำไมหรือคะ “ เธอเริ่มถามต่อ เมื่อชายหนุ่มหยุดขำ“ ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ในรามเกียรติ์พาลียังเก็บนางมณโฑไว้จนคลอด องคตออกมาได้เลยนี่ครับ “ คำพูดของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวขนลุกเกรียว นี่หมายความว่ามันจะจับเธอไปเพื่อสมสู่หรือนี่“ แล้วมันมาจากไหนคะ “ อำไพถามเสียงสั่น สายตากวาดมองไปยังต้นไม้สูงอย่างระแวง ร่างกายขยับไปใกล้ชายหนุ่มจนเกาะแขนเขาอย่างไม่รู้ตัว“ ที่ที่ไกลจากที่นี่มากครับ ...คุณไม่ต้องกลัวหรอกมันเข้ามาถึงนี่ไม่ได้แน่ “ ดวงตาของชายหนุ่มมีแววหวนรำลึกอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับเป็นปกติแล้วจึงบอกให้หญิงสาวคนที่กำลังเกาะแขนเขาอยู่ตอนนี้สบายใจ เขายืนนิ่งอยู่นานจนเธอรู้สึกตัวรีบปล่อยแขนของเขาแล้วเอ่ยขอโทษเบาๆ แต่ชายหนุ่มหัวเราะแล้วบอกเธอว่ามาถึงแล้ว“ คุณคงต้องอยู่ที่นี่หลายวันหรืออาจจะเป็นสัปดาห์ เพราะช่วงนี้มรสุมเข้าแล้วยังมีปัญหาจากสิ่งที่คุณได้พบมาแล้ว ผมเลยขอให้ซายีนายบ้านที่นี่สร้างที่พักให้คุณน่ะ อยู่ใกล้ๆหมอโยฮันกับแอนนา เย็นนี้คงเสร็จส่วนเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนผมขอจากมะเมี๊ยะเมียซายีให้คุณแล้ว “ ชายหนุ่มอธิบายยาวเหยียด หญิงสาวเอ่ยขอบคุณแล้วมองไปยังกระท่อมที่เธอต้องอาศัยอยู่นับแต่คืนนี้ โดยชาวบ้านกำลังช่วยกันขึ้นไปมุงหลังคา“ ประเดี๋ยวผมต้องเข้าป่าไปกับพวกชาวบ้าน “ ชายหนุ่มบอกแล้วพาเธอเดินเลยจากที่พักของเธอที่กำลังสร้างอยู่ เพียงชั่วครู่ก็พบกับสองสามีภรรยานั่งอยู่ในเพิงเปิดโล่งบนแคร่ไม้ไผ่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เล็กๆมากมาย “ เดี๋ยวผมต้องเข้าป่า “ ชายหนุ่มบอกทั้งคู่ หมอโยฮันยิ้มรับเข้าใจความหมายว่าเขานำสุภาพสตรีทางด้านหลังมาฝากไว้ ส่วนคนที่ถูกนำมาฝากให้ดูแลเพิ่งเข้าใจความหมาย“ ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆนะคะ คุณจะไปไหนก็ไปเถอะไม่ต้องห่วงฉันหรอก “ หญิงสาวพูดอย่างงอนๆ เขาจึงเดินไปสมทบกับกลุ่มชาวบ้านที่ยืนคอยอยู่ไม่ไกล“ ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยได้พบปะกับผู้หญิงเท่าไหร่น่ะค่ะ มิสอำไพ “ โจแอนนา ละสายตาจากสมุดโน๊ตที่เจ้าตัวกำลังจดบันทึกขึ้นมาพูดกับอำไพด้วยภาษาอังกฤษค่อนข้างชัดกว่าผู้เป็นสามี“ เรียกฉันอีฟก็ได้ค่ะ “ อำไพบอก กับทั้งคู่เพราะชื่อภาษาไทยเธอออกเสียงยากสำหรับชาวตะวันตก“ อีฟ เชิญนั่งก่อน “ หมอโยฮัน ชวนเธอนั่งลง“ พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่คะ “ อีฟหรืออำไพ ถามหลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว“ ฉันกำลังจดบันทึกสมุนไพรพวกนี้ ป่าเขตร้อนแถบนี้มีสมุนไพรมากมายเลยนะคะ “ โจแอนนาตอบ“ ไม่รู้ว่าคุณตามผมมาหรือผมตามคุณมากันแน่เนี่ยที่รัก “ หมอโยฮันพูดยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดี“ ก็ตอนแรกผมอยากจะมาเพื่อศึกษาเกี่ยวกับโรคภัยของภูมิภาคนี้ ทางยุโรปมีหมอเยอะแล้วแต่ทางนี้กับทางอาฟริกา ด้านการแพทย์ยังล้าหลังอยู่มากผมจึงอยากมาอยู่ที่นี่ “ หมอหนุ่มอธิบาย ทำเอาหญิงสาวทึ่งในความคิดของหมอหนุ่มคนนี้ “ ส่วนโจแอน ตอนแรกที่รู้ว่าผมจะมาที่นี่เขาแทบจะขอหย่ากับผมเลยนะ แต่ดูสิพอมาอยู่แล้วหลงสมุนไพรพวกนี้มากกว่าผมเสียอีก “ หมอหนุ่มพูดต่ออย่างขัดเขินจากสายตาของภรรยาและหญิงสาวอีกคนที่มองมาอย่างชื่นชม“ ก็ดูสิที่นี่สำหรับฉันเปรียบเหมือนห้องสมุดหรือคลังสมบัติเลยนะ สมุนไพรพันธุ์ไม้มากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผยให้โลกได้รับรู้ “ โจแอนนาตีแขนสามีเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย“ พวกคุณรู้จักเขานานหรือยังคะ เอ่อ ฉันหมายถึงคุณดาน่ะ “ หลังจากมองคู่สามีภรรยาหยอกล้อกันอย่างมีความสุขไปด้วย อำไพจึงชวนสนทนาต่อ“ ก็ราวๆสี่ปีแล้วครับ พบกันครั้งแรกที่ทวาย เขาเข้ามาช่วยเราไว้จากโจรกระเหรี่ยงน่ะ แล้วก็พาเรามาอยู่ที่นี่“ หมอโยฮันเล่า“ เขาเป็นคนยังไงเหรอคะ “ อำไพ ถามอย่างสนใจ“ อืม จากที่รู้จักกันมาหลายปี ต้องบอกว่าเขาเป็นคนดี ดีมากครับ ชาวบ้านแถบนี้รักเขาทุกคน ตอนแรกที่เจอผมนึกว่าเขาเป็นทหารเสียอีก แต่พอต่อมาผมก็คิดว่าเขาเป็นหมอ เพราะบางทีแค่ได้ยินเสียงลมหายใจเขาก็สามารถบอกได้แล้วว่าคนๆนั้นกำลังป่วย ยิ่งรู้จักนานเข้าชายคนนั้นยิ่งทำให้ทึ่งน่ะครับ “ หมอหนุ่มบรรยายให้ฟัง“ สมุนไพรพวกนี้เขากับชาวบ้านก็เป็นคนนำมาให้ เขาทำให้ฉันกลับไปเป็นนักศึกษาอีกครั้งเลยล่ะ ว่างๆก็จะมาให้ฉันเลคเชอร์สักรอบ แล้วเวลาคุยกับโยฮันตามลำพังเขาก็พูดเยอรมันกัน พอมาอธิบายเรื่องสมุนไพรให้เขาก็พูดฝรั่งเศสกับฉันแถมยังอธิบายได้ดีทีเดียว คุณว่ามหัศจรรย์ไหมล่ะคะ “ โจแอนนา เสริมต่อจากสามี“ ปกติเขาอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือคะ “ หญิงสาวถามอย่างสนใจ เพราะจากที่สองสามีภรรยาคู่นี้เล่ามา ชายหนุ่มที่บอกว่าเป็นเพื่อนร่วมชาติ มีประวัติความเป็นมาลึกลับแต่กลับมีความสามารถมากมายขนาดนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกสนใจ“ เอ...ไม่หรอกครับ เขาจะไปๆมาๆ ในหมู่บ้านแถบนี้ บางทีก็ข้ามไปฝั่งไทย “ โยฮันเป็นฝ่ายตอบคำถาม“ เห็นว่าระยะนี้เกิดเรื่องประหลาดขึ้นในแถบนี้ทำเอาพวกชาวบ้านหวาดกลัวกันมาก เขาเลยต้องมาดูน่ะค่ะ นี่ก็อยู่ได้สักพักแล้ว “ โจแอนนากล่าวเสริม ทำให้หญิงสาวคิดไปถึงเรื่องลิงยักษ์ที่ลักพาตัวเธอมาจากแคมป์“ เอาล่ะ เดี๋ยวฉันพาคุณชมรอบหมู่บ้านดีกว่าค่ะอีฟ ที่รักฝากทำต่อด้วยนะคะ “ โจแอนนาหันไปบอกสามีแล้วลุกขึ้นอาสาพาเพื่อนใหม่เดินชมหมู่บ้าน ว่าแล้วก็คล้องแขนพากันเดินไปหลังจากเดินตามแหม่มสาวผมน้ำตาลแกมแดง ทำให้หญิงสาวรู้ว่าชาวบ้านที่นี่นอกจากปลูกข้าวตามเชิงเขาแล้วยังมีแปลงผักกับเลี้ยงไก่ ไว้เป็นอาหารแล้วยังมีสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือ โรงกลั่นเหล้ากับโรงกลั่นหัวน้ำหอมจากดอกไม้ป่า ซึ่งเกิดจากความคิดและฝีมือของผู้ชายแสนลึกลับคนนั้น โดยโจแอนนาอธิบายว่าผลผลิตที่ได้สร้างประโยชน์ได้อย่างมากทั้งนำไปแลกกับเกลือและเวชภัณฑ์ที่ต้องการ ยังช่วยให้โยฮันมีแอลกอฮอล์ไว้ใช้อีกด้วย ทั้งคู่พากันเดินจนตะวันคล้อยลงมาก“ ใกล้ได้เวลาที่สาวๆจะอาบน้ำแล้ว มาเถอะอีฟเตรียมตัวกัน “ แหม่มสาว บอกอย่างยิ้มแย้มแล้วพาเธอมาที่ลำธารใกล้หมู่บ้าน เมื่อเห็นน้ำใสๆแล้ว หญิงสาวรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีแต่ก็อดประหม่าและระแวงไม่ได้ที่ต้องเปลือยกายอาบน้ำในลำธารแบบนี้ จึงยืนลังเลอยู่“ ไม่ต้องกังวลหรอกอีฟ พวกหนุ่มๆไม่กล้าแอบดูหรอกเรามียามเฝ้า “ โจแอนนาบอกแล้วเริ่มเปลื้องผ้าออกเป็นการแสดงความมั่นใจให้เพื่อนใหม่ของเธอ อำไพยืนลังเลอยู่ชั่วครู่แต่เมื่อหันไปดูก็เห็นทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ในหมู่บ้านต่างก็เปลือยกายอาบน้ำกัน จึงลงมือถอดบ้าง เมื่อเปลื้องผ้าออกหมดอวดเรือนร่างอวบอิ่มสมบูรณ์ จนได้รับเสียงชมจากแหม่มสาวก็อดเขินไม่ได้ “ ว้าว อีฟ ผิวเธอเนียนสวยน่าอิจฉาจัง รูปร่างก็ดี “ โจแอนนาชม จนเธอแทบอยากจะมุดน้ำหนีแม้จะเคยไปเรียนถึงอังกฤษ แต่ก็ไม่เคยอาบน้ำร่วมกับคนอื่นแบบนี้มาก่อน“ เอ่อ ขอบคุณค่ะ “ หญิงสาวไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากขอบคุณ ในใจก็นึกอิจฉาสองเต้าขนาดใหญ่ของแหม่มสาวเหมือนกัน แต่เมื่อนึกดูอีกทีถ้าเธอใหญ่ขนาดนั้นคงปวดหลังตายชัก หน้าอกใหญ่ๆแบบนี้เหมาะกับไซส์ยุโรปมากกว่า“ นี่จ๊ะ สบู่เหลวผลิตภัณฑ์จากวิทยาศาสตร์อย่างง่ายๆ โดยเขาอีกนั่นแหละ “ โจแอนนายื่นกระบอกสบู่เหลวให้เพื่อน เมื่อหญิงสาวรับมาก็ลองเทบนฝ่ามือ ดมดูก็มีกลิ่นหอมของดอกไม้ แม้จะไม่มีฟองเวลาถูตัวแต่ประสิทธิภาพการชำระล้างก็ดีไม่น้อย ทำให้เธอสดชื่นขึ้นมาก แช่น้ำได้สักพักโจแอนนาก็สะกิดเตือนให้ขึ้นได้แล้วเพราะเย็นมากแล้ว อากาศจะยิ่งหนาว สาวๆก็เริ่มทยอยกันขึ้นจากน้ำแต่งตัวแล้วกลับเข้าหมู่บ้าน อำไพจึงขึ้นมาแต่งตัวบ้างและเดินกลับพร้อมกับโจแอนนา โดยที่มีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่บนยอดไม้สูงบรรดาผู้หญิงในหมู่บ้านหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ไปรวมตัวกันที่เพิงขนาดใหญ่ที่ดาและเธอรับประทานอาหารเมื่อตอนเช้า เพื่อรอพวกผู้ชายเข้ามาสมทบแล้วจะได้ทานอาหารพร้อมกัน“ เอ ปกติเขาทานอาหารพร้อมกันแบบนี้หรือคะ “ อำไพหันไปถาม โจแอนนาด้วยความสงสัย“ ปกติ ต่างคนต่างทานในครอบครัวของตัวเองน่ะจ้ะ แต่ระยะนี้เกิดเหตุการณ์ไม่น่าไว้ใจคุณดาเขาเลยให้ทุกคนมารวมตัวกันตอนเย็นเพื่อดูว่าใครหายไปหรือเกิดเหตุอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้อีกอย่างเผื่อใครมีความคิดเห็นหรือต้องการบอกข่าวอะไรจะได้รับรู้กันอย่างทั่วถึง จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นกิจวัตรกันไปแล้ว“ แหม่มสาวอธิบายให้เพื่อนฟัง ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่สักพักพวกผู้ชายก็เริ่มทยอยกันเข้ามา ในหมู่บ้านนี้อาศัยกันอยู่ประมาณยี่สิบครอบครัวส่วนมากจะมีแต่คนที่แต่งงานแล้วกับเด็กและคนแก่ ส่วนพวกวัยรุ่นหนุ่มๆสาวๆในหมู่บ้านมักจะออกไปผจญภัย เผชิญโชคกันในเมืองหรือในถิ่นอื่น เท่าที่ดูสาวๆที่ยังไม่แต่งงานในหมู่บ้านก็มีอยู่ไม่กี่คน ส่วนพวกที่โตเป็นหนุ่มนั้นเท่าที่เห็นก็มีอยู่สองสามคน เมื่อดูเหมือนจะมากันครบทุกคนแล้วดา ชายหนุ่มลึกลับสำหรับเธอก็ออกไปยืนอยู่ด้านหน้าโดยมีซายีนายบ้านยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดกับชาวบ้านเป็นภาษาพื้นเมือง แต่โชคดีที่เธอมีล่ามเป็นฝรั่งคอยแปลให้ฟัง สรุปใจความว่า วันนี้ล่าสัตว์ได้หลายตัวและถ้าไม่จำเป็นอย่าออกนอกเขตหมู่บ้านตามลำพังถ้าจำเป็นจริงๆให้มาบอกเขา สักครู่ชายหนุ่มก็ผายมือมาทางเธอ โจแอนนาจึงสะกิดบอกให้เธอลุกขึ้น หญิงสาวได้แต่ลุกขึ้นอย่างงงๆระคนเขินอายกับสายตาทุกคู่ที่มองมาทางเธอ จนชายหนุ่มพูดบางอย่างบรรดาชาวบ้านก็ยิ้มอย่างดีใจ จนหญิงสาวหันไปส่งสายตาถามเพื่อนแหม่มก็ของเธอ โจแอนนาจึงบอกว่า คุณดาบอกกับชาวบ้านว่าในระยะนี้เธอจะมาเป็นครูสอนเด็กๆในหมู่บ้าน เมื่อชายหนุ่มพูดจบ นายบ้านก็พูดต่ออีกเล็กน้อยจึงบอกให้เริ่มทานอาหารกันได้ พวกเขาจึงพลัดกันลุกไปตักสำรับกับข้าวฝีมือบรรดาแม่บ้านที่ช่วยกันทำแล้วนั่งล้อมวงกันหลายวง “ อาหารพื้นๆ พอทานได้ไหมครับ “ ชายหนุ่มถามเธอ อย่างเจาะจงเพราะถามเป็นภาษาไทยหลังจากตักอาหารเสร็จก็มานั่งล้อมวงกับพวกเธอ“ ฉันก็ไม่ใช่คนช่างเลือกนี่คะ ขอบคุณที่ถามเรื่องอาหาร แต่คุณจะไม่ถามเรื่องที่จะให้ฉันเป็นครูสอนเด็กๆบ้างหรือคะ “ หญิงสาวพูดประชด เรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มและสองสามีภรรยาชาวตะวันตก“ ก็ผมเห็นว่าคุณน่าจะพอสอนเด็กๆได้ เอาหน่าดีกว่าอยู่ว่างๆนะคุณ ถือซะว่าฆ่าเวลาระหว่างรอให้มรสุมผ่านไป “ ดา พยายามกล่อม“ แล้วจะให้ฉันสอนอะไรเล่า ภาษาพื้นเมืองก็พูดไม่ได้ อุปกรณ์ก็ไม่มี “ แม้จะเริ่มคล้อยตาม แต่ก็ยังอดท้วงไม่ได้“ สอนนับเลขก็ได้ เรื่องภาษาไม่ต้องห่วงครับ เด็กๆพอรู้ภาษาอังกฤษบ้าง พวกผู้ใหญ่ที่นี่หลายคนก็ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี “ ชายหนุ่มบอกให้เธอเลิกกังวลและยอมรับงานโดยดี ก่อนจะบอกให้ลงมือทานอาหารเพราะหลังจากนี้เขาจะพาไปดูกระท่อมที่เพิ่งสร้างเสร็จของเธอ “ เอ่อ ให้ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวหรือคะ “ อำไพ ถามขึ้นเมื่อชายหนุ่มพาเธอมายังที่พักหลังใหม่ของเธอซึ่งมีลักษณะไม่แตกต่างจากหลังอื่นๆ เพียงแต่ภายในยังไม่มีเตียงหรือเครื่องเรือนอย่างอื่น มีแต่ห้องโล่งๆ กับเสื้อผ้าหลายชุดและผ้าห่ม ผ้าปูนอนพับไว้มุมหนึ่งของห้อง“ งั้น เดี๋ยวผมจะขอให้เมย ลูกสาวซายีมาอยู่เป็นเพื่อนคุณก็แล้วกัน ไม่ต้องกลัวหรอกครับหมอโยฮันกับแอนนาก็อยู่ใกล้ๆนี่เอง “ ชายหนุ่มบอกพลางเดินไปจุดตะเกียงให้เธอ จากนั้นจึงขอตัวไปหานายบ้าน ไม่นานก็กลับมาพร้อมเด็กสาวอายุราว15-16ปี แถมยังหอบเอาผ้าห่ม หมอนมุ้งมาเผื่อด้วยเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงออกจากที่พักของเธอเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของหมู่บ้าน“ เมย ใช่ไหมจ๊ะ ฉันชื่อ อำไพ เธอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างหรือเปล่า “ อำไพเอ่ยทักทายและถามเด็กสาว ด้วยภาษาอังกฤษอย่างช้าๆ หลังจากช่วยกันจัดที่นอนเสร็จ“ หนูพูดไทยได้จ้ะ แม่หนูเป็นคนไทย “ เมยตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ แล้วยิ้มให้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู“ จริงเหรอ ดีจังแบบนี้ฉันก็มีเพื่อนคุยแล้วสิ “ อำไพดีใจจะมีเพื่อนร่วมห้องที่คุยกันรู้เรื่อง แม้จะเรียกได้ว่าเธอเป็นคุณหนูเกิดในครอบครัวตระกูลเก่าแก่ แต่ก็ไปอยู่ที่ต่างประเทศมานานจึงมีนิสัยไม่เจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนลูกคุณหนูหลายคนที่เธอรู้จัก เมื่อคุยกันทำให้รู้ว่าแม่ของเด็กสาวเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเด็กส่วนมะเมี๊ยะเป็นเมียใหม่ของพ่อและอีกหลายเรื่อง จนดึกทั้งคู่จึงหลับไปด้วยความอ่อนเพลียตอนเย็นของวันรุ่งขึ้นหลังจากเสร็จการสอนเด็กๆในตอนเช้าและช่วยงานเล็กๆน้อยๆสองสามีภรรยา ก็พบว่าเธอรู้สึกสนุกและมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ต้องอยู่ในกรอบ อย่างทำอะไรก็ทำได้อย่างอิสระแถมยังได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แม้จะเหน็ดเหนื่อยบ้างด้วยความที่ยังไม่ชินแต่ก็สุขใจที่เธอสามารถทำประโยชน์ให้ส่วนรวมได้ ขณะกำลังนั่งพักผ่อนหลังจากอาบน้ำเสร็จพร้อมกับแอนนา ก็เห็นผู้ชายคนนั้นเดินกลับเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับบรรดาหนุ่มๆที่ตามเขาเข้าไป ดูจากสีหน้าแล้วเหมือนกับเขามีเรื่องไม่สบายใจ เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จวันนี้บรรดาชาวบ้านต่างแยกย้ายกันเข้าบ้านเร็วกว่าปกติเพราะดูท่าฝนเริ่มตั้งเค้ามาแล้ว “ เมย จ๊ะ นายดาเขาพักที่ไหนหรือ “ หญิงสาวถามเพื่อนร่วมห้อง“ ก็หลังที่คุณ อยู่คืนแรกนั่นแหละค่ะ คุณไม่รู้หรือ ตอนนายเขาพาคุณมา คุณยังไม่ได้สติ เมยกับแม่มะเมี๊ยะเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณเอง “ เด็กสาวตอบอย่างยิ้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หญิงสาวพอจะคาดเดาได้เพราะท่าทางอย่างผู้ชายคนนั้นคงไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอเองหรอก“ นี่เมยจ๊ะ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเขาน่ะ ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ" หญิงสาวเอ่ยปากชวนเพราะเกรงว่าจะไม่เหมาะถ้าไปหาผู้ชายค่ำๆมืดๆคนเดียว เพียงแต่ปฏิกิริยาของเด็กสาวนี่สิทำให้เธอแปลกใจเพราะเห็นสาน้อยรีบส่ายหน้าหวือ โดยปกติไม่ว่าเธอจะขอร้องให้ทำอะไรเด็กสาวไม่เคยปฏิเสธสักครั้งแต่คราวนี้น่าแปลก หรือว่ามีอะไร...“ ทำไมล่ะจ๊ะ หน่านะ ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ" อำไพพยายามข้อร้อง ดูเด็กสาวจะมีทีท่าลังเลเหมือนจะใจอ่อน แต่ต่อมาก็ส่ายหน้าเหมือนเดิม“ นายเลี้ยงผี เมยกลัว “ เด็กสาวบอกสั้นๆ แล้วทำท่าขนลุกเหมือนกลัวจริงๆ หญิงสาวเห็นอย่างนั้นเลยเป็นฝ่ายใจอ่อนเพราะดูท่าจะชวนไม่สำเร็จ พลางคิดว่าคงกลัวเพราะความเชื่อส่วนใหญ่ของชาวบ้านที่การศึกษายังไม่เจริญนักมักจะกลัวเรื่องเหนือธรรมชาติ ยิ่งเห็นนายคนนั้นเก่งกล้ามีความสามารถเลยคิดไปว่าเขาต้องเป็นคนมีวิชาเลี้ยงผีเลี้ยงสาง แต่เธอไม่เชื่อหรอก จึงเดินออกมาลำพัง เมื่อเด็กสาวไม่ไปเป็นเพื่อนเธอว่าจะลองรบกวนแอนนาดู เพราะอย่างไรการไปพบผู้ชาย อยู่กันสองต่อสองเธอก็คิดว่าไม่ค่อยเหมาะแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กนอกหัวสมัยใหม่แต่ก็ยังพอมีความเป็นกุลสตรีไทยอยู่บ้าง อีกอย่างเธอกลัวใจตัวเองด้วยเพราะความรู้สึกแปลกๆที่มาพร้อมกับความสนใจที่มีให้เขา บางทีอาจทำให้เผลอใจทำอะไรที่ไม่เหมาะสมลงไปก็ได้ ยิ่งบรรยากาศเป็นใจขนาดนี้ ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่านสองเท้าก็เดินเข้าใกล้ที่อยู่ของสองสามีภรรยา เพียงแต่เสียงแปลกๆที่ดังออกมาจากภายในนี่สิทำให้อดสงสัยไม่ได้จึงค่อยเดินเข้าไปใกล้ๆก็พบที่มาของเสียงจากรอยต่อของประตูกระท่อมแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันทำให้เห็น...“ อู้ววว ที่รักแทง หนักๆ เน้นๆ “ ภรรยาสาวร้องบอกสามี พร้อมช่วยเด้งเอวสวน ยิ่งทำให้เสียงเนื้อกระทบกันดัง พั่บๆ สนั่นห้อง แอนนา ซึ่งตอนนี้ยืนโก้งโค้งสองมือจับยึดขอบเตียงไว้แน่น โดยมีโยฮันยืนอยู่กระแทกท่อนลำยาวเป็นมันเลื่อมอยู่ข้างหลัง ยิ่งได้ยินเสียงภรรยาสาวสวยสุดที่รักร้องบอกให้แทงหนักๆเน้นๆ เขาก็ยิ่งกระชากท่อนเอ็นออกมาแล้วส่งกลับเข้าไปแบบเน้นๆ จนสะโพกอวบสะท้าน ยิ่งเร่งจังหวะสองเต้ามหึมายิ่งแกว่งไกว จนอดไม่ได้ต้องโน้มตัวไปบีบเคล้นอย่างแรงด้วยอารมณ์กระสันเมามันอากาศเย็นแต่ร่างของทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยเหงื่อ ฝ่ายหญิงสาวที่แอบดูอยู่ด้านนอก เกิดมายี่สิบสี่ปีเพิ่งจะเคยเห็นคนร่วมรักกันเป็นครั้งแรก ก็หน้าแดง ขนลุกด้วยความสยิว ยิ่งแอบดูนานเข้ายิ่ง เกิดอาการแปลกๆกับร่างกาย ร่องหลืบเริ่มขับน้ำหล่อลื่นจนชื้นแฉะ ปลายยอดของอกอวบเริ่มแข็งเป็นไต นิ้วเรียวยาวของเธอขยับลงต่ำโดยไม่รู้ตัว โดยเกือบลืมไปว่าเธอมาหาทั้งคู่ทำไม จนกระทั่งได้สติ จึงรีบก้าวเท้าจากมาพร้อมกับใบหน้าแดงฉาน หัวใจเต้นตูมๆลมหายใจหอบถี่จากความตื่นเต้น พยามเดินไปพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัว จนมาถึงกระท่อมเป้าหมายหลักที่เธอวางไว้ในคราแรก เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆออกมาจากภายใน คล้ายกับเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะเข้าไปดีหรือเปล่า เมฆฝนที่ตั้งเค้ามานานก็เริ่มลงเม็ดพร้อมกับชายหนุ่มเจ้าของบ้านเปิดประตูออกมา“ เข้ามาเถอะครับ ประเดี๋ยวจะไม่สบายไป “ ชายหนุ่มเจ้าของบ้าน ออกปากเชื้อเชิญพร้อมกับรอยยิ้ม ทำให้หญิงสาวตัดสินใจก้าวเข้ามาในที่พักของเขา แสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันทำให้เห็นภายในห้องได้อย่างชัดเจน เขาเอ่ยปากเชิญให้เธอนั่งลงที่เตียงแล้วเดินไปหยิบผ้ามาให้เธอซับผมที่เปียกยังไม่มากนัก ฝ่ายหญิงสาวซึ่งยังไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่จ้องมองไปยังเตาขนาดเล็กที่น่าจะทำมาจากดินกำลังต้มน้ำเดือดอยู่ช่วยให้อากาศภายในห้องอุ่นขึ้นมาก เพราะภายนอกฝนเริ่มเทลงมาอยากหนัก บรรยากาศแบบนี้ทำให้หญิงสาวอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ “ แม่จ๋า “ เสียงเล็กๆใสๆ ดังขึ้นข้างตัวทำให้เธอสะดุ้งโหยง แล้วหันไปทันที ภาพเด็กหญิงน่ารักอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบปั้นหน้ายิ้มแฉ่งก็ปรากฏแก่สายตา หญิงสาวพยายามนึกว่าตอนแรกที่เข้ามาเธอมองข้ามเด็กน้อยคนนี้ไปหรือเปล่าถึงเพิ่งจะมาเห็นเอาตอนนี้ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จึงมองไปยังชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่กำลังจะเทน้ำร้อนลงบนภาชนะโลหะที่ใช้สำหรับต้มน้ำหรือใช้แทนแก้วเวลาเดินป่า ซึ่งเขาก็หันมามองแถมยังมีสีหน้าแปลกใจแต่ก็หันกลับไปลงมือเทน้ำร้อนจนเสร็จแล้วเดินถือกลับมายื่นให้เธอ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยมาเข้าจมูกถึงกับทำให้ลืมเลือนเรื่องข้องใจด้านข้างไปชั่วขณะ“ เรียกแม่เลยหรือยายตัวยุ่ง “ เสียงกลั้วหัวเราะพูดกับเด็กน้อยที่ยังนั่งหน้าเป็นอยู่ข้างๆเธอ“ ช่าย “ ใบหน้าเล็กๆน่ารักตอบอย่างมั่นใจ แล้วหันมาหาเธอพร้อมกับออดอ้อน “ เป็นแม่ให้หนูนะ นะ นะ “ “ ลูกสาวน่ะครับ ชื่อ ละออ “ ตอนนี้หน้าของเธอคงจะแสดงออกว่างงเต็มที่ จนชายหนุ่มต้องเฉลย เมื่อได้ยินคนเป็นพ่อพูดถึง เจ้าตัวเล็กที่ยิ้มอยู่แล้วยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกจนตาหยี่แต่ก็ไม่นานเมื่อได้ยินประโยคต่อมา“ เก็บได้จากบ้านร้าง “ พอพูดจบ เด็กน้อยสะบัดหน้าไปอย่างงอนๆ เรียกเสียงหัวเราะจากหนุ่มสาวทั้งคู่จากท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแต่แลน่ารักน่าเอ็นดู" จะเรียกคุณเขาว่าแม่ ถามเขาหรือยัง หืม " ชายหนุ่มพูดพลางลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเอ็นดู แต่กลับทำให้หญิงสาวหน้าแดงนี่สิ เพราะหากเธอยอมรับคำขอก็หมายความว่า . . . แต่พอมองไปยังตาแป๋วๆ ที่รอคอยอย่างคาดหวังก็อดใจอ่อนไม่ได้" เอ่อ . . . อืม เรียกแม่ก็ได้จ้ะ แต่ไม่ได้รวมถึง ฉันกับคุณด้วยนะคะ " เธอรีบออกตัว เมื่อเห็นเขามองมาพร้อมรอยยิ้มขบขัน ส่วนเด็กน้อยเมื่อได้รับการยินยอมก็ กระโดดลงจากเตียงวิ่งไปมาด้วยความดีใจจนชายหนุ่มดุเบาๆจึงหยุด แล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม อยู่ระหว่างกลางเขาและเธอดูคล้ายพ่อแม่ลูกจริงๆ " คุณมีอะไรหรือเปล่าครับถึงได้มาหาผม " ชายหนุ่มถามขึ้น ทำลายความคิดฟุ้งซ่านของเธอไป" อ้า เอ่อ คือ ฉันจะมาถามว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ เมื่อตอนเย็นดูคุณเครียดๆ " หญิงสาวลองถามดูเผื่่อ อาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มเงียบไปสักครู่เหมือนจะค้นหาความหมายและจุดประสงค์ของผู้ถาม " คือ ผมจะอธิบายอย่างไรดี ผมรู้สึกว่าป่ามันแปลกไป " เมื่อเห็นหญิงสาวยังคงมองเหมือนยังไม่ค่อยจะเข้าใจจึงอธิบายต่อ " สัตว์ในป่า หายากขึ้นดูคล้ายกับพวกมันอพยพหนีอะไรสักอย่าง " " คุณว่าอาจเกี่ยวข้องกับลิงประหลาดนั่นหรือเปล่าคะ " หญิงสาวออกความเห็นบ้าง" น่าจะมีส่วนครับ แต่ไม่น่าจะมากขนาดที่ทำให้สัตว์อพยพได้ แต่ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าอยู่ในหมู่บ้านทุกคนจะปลอดภัย " ชายหนุ่มพูดให้ความมั่นใจ เมื่อเห็นความกังวลบนใบหน้าสวย จึงทำให้เธอยิ้มออกมาได้บ้าง อันที่จริงเธอเองยังไม่ได้เล่าถึงความเป็นมาของตัวเองเลยว่าเหตุใดถึงมาอยู่ในป่าแห่งนี้ได้ แต่ในเมื่อเขาไม่ถามเธอจึงไม่บอก พอนึกขึ้นมาก็อดหงุดหงิดไม่ได้" มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าครับ เอ่อ คือผมว่าดึกมากแล้ว เดี๋ยวผมเดินไปส่ง " ชายหนุ่มรีบอธิบายต่อ เพราะกลัวเธอจะเข้าใจผิดคิดว่าไล่ ซึ่งหญิงสาวเองก็ไม่มีเรื่องจะคุยแล้วต่างคนจึงต่างเงียบได้สักพักแล้ว เมื่อเขาเอ่ยปากเธอจึงลุกขึ้น แต่พอจะหันมาร่ำลาลูกสาว แม่หนูน้อยกลับไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงเล็กๆเรียกทางด้านหลังตรงหน้าประตูจึงคลายใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเด็กน้อยไปอยู่ตรงนั้นตอนไหนทั้งๆที่นั่งข้างๆกันตลอด บางทีอาจจะเป็นตอนที่เธอเผลอ จึงปัดความสงสัยทิ้งไปและเดินกลับที่พักโดนมีเขาและลูกสาวเดินตามมาส่ง เพียงแต่ว่าทางเดินกลับที่เต็มไปด้วยโคลนนั้น ร่างเล็กๆกลับเดินได้อย่างคล่องแคล่วเท่านั้นเองเวลาผ่านไปหลายวัน โดยที่ไม่มีเหตุการณ์แปลกๆอันเป็นอันตรายเกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้านจึงทำให้ชายหนุ่มคลายความกังวลลงไปมากจนลดความระวังลงไปด้วย ในขณะที่บรรดาสาวๆ กำลังอาบน้ำอยู่นั้นเอง อำไพก็เห็นกวางตัวหนึ่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามลำธารที่แปลกก็คือ ขนของมันกลับเป็นสีขาวราวหิมะเขาขึ้นเป็นกิ่งก้านสวยงามสมบูรณ์แบบยิ่งนักจึงสะกิดให้โจแอนนาดู แต่้เมื่อทั้งคู่จองมองไปที่ดวงตาของมันก็คล้ายกับตกอยู่ในมนต์สะกด เรือนร่างเปล่าเปลือยงดงามของทั้งคู่ก้าวข้ามไปอีกฝั่งโดยที่ไม่มีใครสังเกตุเห็น แล้วเดินเข้าไปในป่าลึกกระทั่งถูกร่างใหญ่ยักษ์ขนรุงรังรวบร่างขึ้นพาดบ่าแล้ววิ่งตะบึงไปอย่างรวดเร็วทั้งสองคนก็ยังไม่รู้สึกตัว อำไพได้สติขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเธอนอนบนหนังสัตว์ผืนใหญ่อยู่ภายในห้องว่างโล่ง เมื่อแลดูผนังที่เป็นหินก็คลับคล้ายกับอยู่ในถ้ำหรือที่ไหนสักที่ เพียงแต่ถ้าที่แห่งนี้จะไปสว่างไสวราวกับเปิดหลอดไฟฟ้าเช่นนี้ เมื่อลองพยายามลุกขึ้นก็พบว่า ร่างของเพื่อนสาวชาวตะวันตกก็นอนเปลือยร่างอยู่ข้างเธอนั่นเอง หลังจากปลุกโจแอนนาแล้วทั้งคู่ก็นั่งมองหน้ากันอย่างงงงวย ที่เธอทั้งสองคนมานั่งอวดสรีระงดงามอย่าภายในถ้ำประหลาดที่สว่างไสวนี้ ขณะที่กำลังคิดจะหาทางเพื่อจะกลับไปยังหมู่บ้านที่พวกเธอจากมา พลันก็มีเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากส่วนลึกภายในถ้ำ เมื่อประจักษ์แก่สายตาของพวกเธอ ทั้งคู่ก็ต้องอุทานขึ้นมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็คือบุรุษ ที่หล่อเหลางามสง่าที่สุดเท่าที่ทั้งคู่เคยพบมา องคาพยพทุกส่วนบนใบหน้าเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะราวปฏิมากรรมชิ้นเอกจากเทพศิลป์ ผมยาวสีดำหยักศกจรดบ่า ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผิวพรรณผุดผ่อง กระจ่างตาคล้ายมีรัศมีสีทองจางๆแผ่ออกมา ภูษาผ้านุ่ง แลดูวิจิตรไม่ธรรมดาดูคล้ายกับขุนนางหรือนักรบโบราณดวงตาสีนิลนั้นทรงอำนาจประหลาด เพียงแค่เหลือบมองดูก็ทำให้ร่างกายขยับไปไหนไม่ได้ สายตาทรงอำนาจคู่นั้นจ้องมองมาที่พวกเธออย่างคล้ายจะพิจารณา เมื่อสายตามาหยุดอยู่ที่ร่างของอำไพแววตานั้นก็ปรากฏความพึงพอใจ จนมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากบางเฉียบ จนกระทั่งปลายดรรชนีของเขาชี้ไปที่ร่างของโจแอนนาพวกเธอจึงได้สติพร้อมกับความตระหนกอย่างที่สุดเมื่อ ร่างใหญ่ยักษ์อีกร่างก้าวเข้ามา เป็นครั้งแรกที่อำไพได้เห็นร่างของมันชัดๆ ร่างกายเต็มไปด้วยขนรุงรัง ใบหน้านั้นคล้ายมนุษย์คล้ายวานรแต่ค่อนไปทางวานรมากกว่า แต่ที่ต่างจากวานรใดๆในโลกคือลักษณะการยืนการเดินกลับเหมือนมนุษย์ ร่างกายกำยำสูงใหญ่คะเนได้จากสายตาน่าจะถึงสามเมตร ที่สำคัญสายตาที่มองมมายังร่างกายเปลือยเปล่าของเธอทั้งคู่แลดูหื่นกระหายไม่เหมือนกับแววตาสัตว์ ยิ่งมองมายังร่างของโจแอนนามันยิ่งแสยะยิ่มอย่างถูกใจ ไม่นานร่างใหญ่ยักษ์นั้นก็เดินเข้ามาหาพวกเธอ แต่เป้าหมายของมันก็คือเพื่อนแหม่มของเธอ เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจกลัวเมื่อมันคว้าร่างของโจแอนนาขึ้น แม้อำไพจะพยายามยื้อยุดไว้แต่ก็ไม่อาจต้านทานเรี่ยวแรงมหาศาลนั้นได้ จนมันแบกร่างของเพื่อนสาวลับหายไปจากห้อง หญิงสาวน้ำตาไหลรินเพราะไม่อาจจะช่วยเหลือได้แถมสถานการณ์ของเธอเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันด้านโจแอนนาพยายามดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองอย่างที่สุด ทั้งทุบทั้งถีบออกแรงดิ้นอย่างไร ร่างยักษ์ของมันก็ไม่สะเทือน จนมันพาเธอออกมาลานกว้างหน้าถ้ำถึงวางร่างของเธอลง เพียงเท้าสัมผัสพื้นโจแอนนาก็ออกแรงดิ้นรนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้กลับดิ้นหลุดอย่างง่ายดายจนเหลือเชื่อ นั้นก็เพราะมันจงใจปล่อยเองมากกว่า หญิงสาวออกตัววิ่งไปไม่ถึงห้าก้าว ร่างของเธอก็ถูกสองมือยักษ์รวบเอวลอยขึ้นจากพื้นแล้วจับพลิกหันหน้ามาหามัน แม้เธอจะสูงเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตร กระนั้นก็สูงเพียงครึ่งของร่างยักษ์ตรงหน้า เพียงแค่ฝ่ามือของมันมือเดียวก็ปิดสองเต้ามหึมาของเธอได้มิดแล้ว ยิ่งมองเห็นส่วนที่แสดงความเพียงเพศผู้ของมันขยายใหญ่ขึ้นเป็นลำใหญ่แดงร่า โจแอนนาสองขาถึงกับหมดเรี่ยวแรง เพราะมันใหญ่กว่าของโยฮันสามีของเธอมาก วานรยักษ์จ้องมองเรือนร่างของเหยื่อตรงหน้าอย่างกระหายครู่หนึ่ง ก็แลบลิ้นยาวของมันลงลิ้มรสร่างขาวอวบตรงหน้า หญิงสาวรับรู้ถึงความเปียกแฉะแถมยังสากอย่างกับลิ้นวัวลากผ่านแทบจะทุกซอกทุกมุมของร่างกาย ทำให้อดครางของมาไม่ได้เพราะลิ้นของมันทำให้เธอทั้งแสบทั้งเสียว ยิ่งมันยกร่างอวบอัดของเธอขึ้นสูงแล้วเริ่มเลียจากปลีน่องขาวไปจนถึงต้นขา โจแอนนาถึงกับดิ้นเร้าๆ ขาสองข้างของเธอถูกยกขึ้นพาดบ่าของมัน สองมือใหญ่ยักษ์ประคองร่างขาวจนร่องรักประชิดเข้าที่ปากใหญ่ แบบที่เรียกได้ว่า ยืนยกซดของจริง ไม่นานลิ้นสากๆทั้งยาวและใหญ่ของมันก็ทำให้ โจแอนนาถึงกับครางลั่นป่า เพราะมันได้ชอนไชเข้าไปในร่องรักราวกับงูเลื้อย ลิ้นทั้งชื้นทั้งยาวทั้งสาก ทำให้หญิงสาวครางลั่นอย่างสุดเสียวไม่ต่างกับโดนกระแทกด้วยท่อนเนื้อ“ อ้ายยยยส์ โอ้ ก็อด อูวววว" โจแอนนา ถึงจุดสุดยอดน้ำแตกอย่างรุนแรงเพราะลิ้นของวานรยักษ์ภายในไม่กี่นาที จนมันถอนลิ้นออกมาร่างของเธอก็ยังสั่น กระตุกไม่หาย แขนขาแทบหมดเรี่ยวแรง แต่มันเป็นแค่เพียงการเริ่มต้น เพราะมันช้อนร่างของโจแอนนาลงมา จรดร่องรักที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายและน้ำรัก ไปที่ท่อนเนื้อมหึมาแดงร่าที่ตั้งตระง่านคอยอยู่ โดยที่หญิงสาวไม่มีทางขัดขืนได้เลย “ กรี้ดดดดด “ด้วยความใหญ่ของมันทำให้โจแอนนา ร้องลั่นป่าด้วยความเจ็บเมื่อท่อนลำเริ่มมุดเข้าไปยังร่องรักของเธอ แถมมันยังไม่สนใจเสียงร้องของเธอ ส่งท่อนเนื้อยักษ์เขาไปเรื่อยๆ จนกระทบปากมดลูกไม่อาจจะยัดเข้าไปได้อีก แม้จะเหลืออีกตั้งคืบ “ โอ้ยย อ้าส์ “ หญิงสาวร้องออกมา เมื่อมันส่งท่อนลำไปชนปากมดลูกของเธอ ใบหน้าสวย เหยเกด้วยความเจ็บและคับแน่น ร่องเสียวที่บวมเปล่งราวกับจะปริแตก“ อืออออออ “ โจแอนนาครางเสียงยาว เมื่อมันลากท่อนเนื้อออกมา เธอรู้สึกเหมือนกับภายในขอเธอถูกท่อนลำของมันลากออกมาด้วย ซึ่งถ้าเธอก้มลงมองก็จะเห็นแคมบวมเปล่ง เนื้อแดงๆภายในปลิ้นออกมาตามด้วย แล้วก็ยุบเข้าไปอีกแถมยังเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ มองดูกลายเป็นท่าลิงอุ้มแหม่ม เสียงลมหายใจของมันพ่นออกมาดังลั่น ตอนนี้สติของหญิงสาวกระเจิดกระเจิงจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เพราะความใหญ่คับร่องทำให้เธอน้ำแตกติดๆกัน จนไม่มีแม้แรงจะส่งเสียงได้แต่หอบหายใจ ทุกครั้งที่มันกระแทกเข้ามา จะได้ยินเสียงหญิงสาวดัง อ๊อกๆ วานรยักษ์พอใจกับเหยื่อชิ้นนี้มากเพราะที่ผ่านมาไม่มีใครรับกับขนาดของมันได้ โดนมันทะลวงจนฉีกไม่มีชิ้นดีไม่นานก็ขาดใจตาย มันจับร่างอวบพลิกคว่ำลงพื้น มือเท้าของหญิงสาวไม่มีเรี่ยวแรงใดๆแล้ว ร่างท่อนบนจึงเรี่ยไปกับพื้นดิน ส่วนท่อนล่างถูกมันจับเสยกระแทกถี่ยิบแม้จะเข้าไปได้ไม่หมดแต่เท่านี้ ก็สร้างความหฤหรรษ์ในมันมากแล้ว มันตั้งใจจะเก็บหญิงสาวผู้นี้ไว้บำเรอมันนานๆ ยิ่งคิดมันก็ยิ่มโถมทะลวงเข้าออกอย่างเร็วสุดที่มนุษย์เพศผู้จะทำได้ แล้วมนุษย์เพศเมียที่ไหนจะรับได้ สติของโจแอนนาดับวูบไปนานแล้ว วานรยักษ์คำรามอย่างสะใจ ในขณะที่เร่งจังหวะเพื่อจะปลดปล่อยน้ำเชื้อเข้าสู่ร่างที่สิ้นสติไปแล้ว “ โฮกกก “ เสียงวานรยักษ์คำรามอย่างเจ็บปวด เมื่อพบว่าอกด้านขวาของมันถูกปักด้วยลูกศรที่ยิงออกมาจากหน้าไม้ ซึ่งลูกศรธรรมดาไม่มีทางจะทำอะไรมันได้ มันจึงพละออกจากร่างขาวอวบด้วยความตระหนกทำให้ร่างของหญิงสาวฟุบลงไปกับพื้น ร่องรักกลวงโบ๋อ้าออกอย่างหุบไม่ลงเมื่อวานรยักษ์เพ่งมองร่างของผู้มาใหม่ มันก็จำได้ว่าเป็นมนุษย์เพศผู้ที่ขัดขวางมันตอนกำลังจะจับหญิงสาวที่บัดนี้อยู่ภายในถ้ำด้านใน ร่างยักษ์ส่งสายตาแดงก่ำอย่างอาฆาตแต่มันยังไม่กล้าทำอะไร เพราะรู้สึกถึงอำนาจบางอย่างจากตัวมนุษย์ผู้นี้ สัญชาติญาณบอกมันอย่างนั้น เมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาพลางเหลือบมองไปยังร่างขาวที่นอนอยู่สักครู่ก็ตั้งสติแล้วมองไปยังร่างยักษ์ด้วยความโกรธ“ นี่มิใช่ที่ของเจ้า จักกลับไป หรือทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ “ ชายหนุ่มนามดา ออกปาก แม้ใคร่จะสังหารชีวิตตรงหน้าแต่ก็ยังให้โอกาส ซึ่งแน่นอนว่ามันฟังสิ่งที่เขาบอกรู้เรื่อง เพียงแต่ไม่คิดว่า มันจะคำรามตอบแล้วพุ่งเข้าหาเช่นนี้ แต่ด้วยความที่ระวังอยู่แล้ว แม้ร่างที่กระโจนมาด้วยความเร็วของสัตว์ป่าหมายจะฉีกร่างของเขาเป็นชิ้นๆนั้น ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไปยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม เมื่อร่างยักษ์ที่กระโจนมาหมายจะฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆนั้น เกือบจะเข้าปะทะ พลันเกิดเสียงดังตึง เหมือนกับคราวที่แล้วที่มันปะทะเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นแถมคราวนี้ยังมีแรงสะท้อนกลับ ส่งผลให้ร่างยักษ์กระเด็นไปไกลกว่าห้าเมตร“ เจ้าเลือกเองนะ “ ชายหนุ่มพูดขึ้น จังหวะที่วานรยักษ์ยังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มก็ถึงตัวมันแล้ว พร้อมกับของบางอย่างในมือที่มีอำนาจสะกดให้มันหยุดนิ่งไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ของในมือชายหนุ่มนั้นคือ เขี้ยวแก้วไกรสรณ์ราชสีห์ จ้าวแห่งป่าหิมพานต์ที่นานครั้งจะอุบัติขึ้น อำนาจวิเศษสามารถสะกดเหล่าทวิและจตุบาททั้งมวล หากเขี้ยวแห่งจ้าวป่ามาอยู่ในมือมนุษย์ได้ นั่นแสดงว่ามันได้แต่ยอมรับความตายแต่โดยดี เขี้ยวแก้วทรงอำนาจปักเข้ากลางกระหม่อมทะลวงเข้าไปอย่างง่ายดายราวกับแทงลงบนดินเหลว ร่างยักษ์ค่อยทรุดลงพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย เมื่อจัดการวานรยักษ์ได้แล้วเขาก็เดินตรงไปที่ร่างหญิงสาวที่นอนอยู่ยื่นมือไปสัมผัสที่ศีรษะของเธอแล้วรวบรวมจิตสมาธิความบอบช้ำของหญิงสาวก็เลือนรางลง เพียงแต่ปัญหายังไม่จบและดูท่าว่าจะร้ายแรงกว่าด้วยซ้ำเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่ออกมาจากถ้ำ ไม่นานดูคล้ายว่าผู้ที่อยู่ด้านในจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างสง่างามสูงใหญ่ หล่อเหลา ที่หญิงสาวทั้งสองเห็นแต่เขากลับเห็นเป็น ผู้มีใบหน้าดุร้าย น่ากลัว ผิวกายดำมะเมื่อม ริมฝีปากหนา นัยน์ตาแดงฉาน แม้จะไม่เคยพบเจอแต่ชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าร้ายกาจกว่าศัตรูทุกสิ่งที่เขาเผชิญมา“ ความสามารถเจ้ามิใช่น้อย ...สำหรับมนุษย์ “ บุรุษนิรนามเอ่ยปากชม แม้จะฟังดูขัดหูแต่ก็นับว่าพูดจริง“ ท่านเหตุใดจึง อยู่ที่นี่ได้ “ ชายหนุ่ม เรียกบุรุษตรงหน้าว่า ท่าน เพราะพลังอำนาจที่แผ่ออกมาทำให้ไม่อาจเรียกเป็นอย่างอื่นได้สำหรับผู้ที่ด้อยกว่า“ จักใคร่รู้ไปไย ในเมื่ออย่างไรเจ้าก็ต้องตาย “ คำพูดที่ ออกมาฟังดูโอหัง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ยากเลย ซึ่งดา รู้ดีถึงความต่างชั้น“ เสียเพลา มากแล้ว “ สิ้นเสียงเพียงแค่ พริบตาร่างสูงใหญ่ก็หายวับไป แล้วปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาพร้อมวาดมือที่มีเล็บสีดำสนิทจากบนลงล่างเข้าหา เสียงดังแกร๊ก ดังขึ้นแต่ก็เพียงชั่วขณะ แม้สายตาของผู้ลงมือจะแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เมื่อออกแรงเพียงนิด เสียงดังเพล้งคล้ายกระจกแตกก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยข่วนสี่รอยเป็นทางปรากฏบนหน้าอกไปถึงหน้าท้อง ร่างกระเด็นออกไปเกินสิบเมตร“ แม้นกำแพงแก้วแลท่องบทสวดขององค์มหาราชก็ไม่ช่วยให้เจ้าพ้นความตายไปได้ดอก “ แม้จะเป็นจริงดังที่อีกฝ่ายว่าแต่ก็ยังพอช่วยให้เขาไม่ถูกแยกร่างเป็นชิ้นๆ อีกอย่างเมื่อได้ยินคำพูดของอมนุษย์นี่แล้วทำให้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นยังไม่ได้รับอันตราย ถ้าลมหายใจยังไม่หมดลงเขายังพอมีโอกาสนี่เป็นสิ่งที่เชื่อมาตลอดชีวิต เพียงแต่สภาพความจริงช่างโหดร้าย บาดแผลที่ถูกข่วนกลายเป็นสีดำคล้ำ ไม่เพียงแค่นั้นร่างกายกับร้อนราวกับถูกไฟเผาพลาญ จนต้องบิดตัวกลิ้งไปมาบนพื้น แต่กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความทรนง จนแม้แต่อมนุษย์ผู้ลงมือยังต้องชื่นชมในใจ ดังนั้นจึงตั้งใจจะช่วยให้ชายหนุ่มพ้นจากความทรมาณ ภาพที่ปรากฏในสายตาของชายหนุ่มกับตรงกันข้ามกับความคิดโดยสิ้นเชิง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของเขาอมนุษย์ตนนั้นเคลื่อนกายเข้ามาอย่างเชื่องช้าจนน่าแปลกใจ ส่วนความคิดกลับคิดถึงใบหน้าผู้คนมากมายจนกระทั่งมาถึงสองใบหน้าสุดท้ายเป็นหญิงสาวทั้งคู่ซ้อนทับกันอย่างน่าประหลาดแต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยผูกพันไม่ต่างกันแม้แต่น้อยหญิงสาวนามว่า อำไพ ในช่วงเวลาที่เชื่องช้านั้นเองความรู้สึกที่อยากจะพบ อยากจะได้ยินเสียงของเธออีกสักครั้ง กลับทำให้เขาสงบจิตใจ ดูภายนอกคล้ายจะยอมรับความตายแต่โดยดี แต่มนตราบทหนึ่งกลับปรากฏขึ้นในใจที่สงบนั้น ' ด้วยบารมีแห่งข้า เทวาองค์ใด จงร้อนอาสน์ ขอแท่นบรรทมจงสั่นไหว รับรู้ถึงจิตข้าพเจ้า ' โดยพลัน ปรากฏแสงสีทองแผ่พุ่งขึ้นเหนือศีรษะของทั้งสอง รัศมีเจิดจ้าจนไม่อาจลืมตาอยู่ได้ สิ่งที่ต่างกันคือหนึ่งนั้นพลันรู้สึกอบอุ่น ลดทอนความเจ็บปวดลง ส่วนอีกหนึ่งร่างกายราวกลับไม่มีเรี่ยวแรง สองขาทรุดฮวบลงคุกเข่าอย่างยอมจำนนเมื่อรับรู้ได้ว่ารัศมีเจิดจ้านั้นเกิดขึ้นโดยผู้ใด“ กาฬนัขขะ ทราบความผิดแล้วฤๅไม่ “ สรุเสียงทรงอำนาจดังขึ้นจากท้องฟ้าแต่ก็ฟังดูคล้ายกับอยู่ข้างหู เมื่อไม่มีเสียงตอบจากผู้ที่คุกเข่าอยู่ จึงดำรัสต่อ “ กลับไปแล้วเราจักตัดสินความเจ้า.... ไป “ สิ้นเสียงอมนุษย์ผู้ยอมจำนนโดยง่ายด้วย ทราบดีว่าต่อต้านไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด เมื่ออีกฝ่ายคือ ท้าวเวชสุวรรณ มหาราชแห่งจาตุมหาราชิกา เบื้องอุดรทิศ ผู้มีอำนาจเหนือ ภูติผี ปีศาจแลยักษ์ทั้งปวง ร่างของมันค่อยๆเลือนหายไป เมื่อต้นเหตุที่ทำให้พระองค์จากไปแล้วจึงได้ดำริในพระทัย ' เพียงผ่านไปกึ่งพุธกาล จิตใจมนุษย์กลับเสื่อมลงเพียงนี้ ระยะห่างกันไม่ทันทศวรรษกลับก่อศึกผลาญชีวิตไปมหาศาล กิเลสเหล่านี้ดึงดูดเหล่า ยักษ์มาร เพียงแต่ไม่คิดว่าจักเป็นยักษ์ระดับนายกองเยี่ยง กาฬนัขขะ เช่นนี้ เห็นที ถึงกาลอันสมควรที่เจ้าต้องกลับมาทำหน้าที่เช่นเดิมแล้ว อนิลสูร ' ดำริเช่นนั้นแล้วจึงกลับมาทอดพระเนตรยังร่างของชายหนุ่มผู้มีฤทธีเหนือมนุษทั่วไป ลำแสงสาดส่องไปที่เขาอย่างพินิจ ก็ต้องแปลกพระทัย เมื่อพบว่าผู้ต้องพิษร้ายจากเล็บโสมม กลับยังมีลมหายใจอยู่ได้ด้วยฤทธิ์ของพิษร้ายไม่ด้อยไปกว่าพิษของบรรดานาคราช เมื่อสำรวจอย่างละเอียดก็พบว่า ชายหนุ่มมีสิ่งพิเศษอยู่กับตัว เขี้ยวไกรสรณ์ราชสีห์ มณีนาคราช รวมถึง อัญมณี ที่ห้อยที่คอ เช่นนี้แล้วเพียงช่วยขับไล่เพลิงกาฬ เป็นใช้ได้ แสงสว่างอันอบอุ่นสาดส่องไปยังชายหนุ่ม แม้จะยังปวดแผลอยู่แต่ก็นับว่าดีขึ้นมาก“ มนุษย์เอย อนาคตกาล เจ้าจักมีหลานชาย จงอบรม สั่งสอนให้ดี “ สุรเสียงอันเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและคาดหวังดังขึ้นก่อนที่แสงสีทองจะค่อยเลือนหายไป บริเวณโดยรอบกลับมามิดมืด ตามสภาพในยามค่ำคืน แม้แต่ในถ้ำแสงสว่างก็หายไปด้วย เมื่อชายหนุ่มพยายามขยับตัวอย่างยากเย็น ก็รู้สึกถึงแรงที่มาประคอง เป็นหญิงสาวที่เขาคำนึงเป็นคนสุดท้ายในช่วงเวลาแห่งความตายนั่นเอง ทั้งคู่มองสบตากันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำเป็นคำพูด เพราะสายตาต่างเต็มไปด้วยความเป็นห่วง โล่งใจ ยินดี แม้หญิงสาวจะเปลือยเปล่าอยู่แต่กลับไม่รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด ซึ่งเธอเองเห็นเพียงเหตุการณ์ตอนที่ เขาต่อสู้กับยักษ์ตนนั้นแต่ไม่อาจก้าวออกจากถ้ำได้ เรื่องราวแปลกประหลาดจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริงแต่ก็เกิดขึ้นกับตัวเห็นกับตาไม่เชื่อก็คงไม่ได้ ขณะที่ทั้งคู่แนบอิงกันอย่างอ่อนล้านั้น เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้น “ พ่อจ๋า แม่จ๋า.... “เมื่อกลับไปยังหมู่บ้าน ด้วยความช่วยเหลือของยายหนูละออและชาวบ้านที่ช่วยกันออกค้นหา ซึ่งก็เป็นผู้ที่ไปตามชายหนุ่มให้มาช่วยพวกเธอนั่นเอง ถึงตอนนี้คงไม่มีอะไรที่ต้องตกใจหรือประหลาดใจอีกต่อไปแล้ว ที่ได้รู้ว่าลูกสาวที่น่ารักไม่ใช่มนุษย์ เรื่องที่เกิดขึ้นมีเพียง เขา เธอ และยายหนู เท่านั้นที่รับรู้ ส่วนโจแอนนา กลับจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยราวกับเป็นเพียงแค่ฝันร้าย ด้วยฝีมือของชายหนุ่ม แถมเจ้าตัวเล็กยังช่วยบังตาคนอื่นไม่ให้เห็นสภาพที่น่าอายของพวกเธอ ชาวบ้านทราบเพียงว่าพวกเธอถูกผีไพรสะกดให้เดินหลงเข้าไปในป่า พอถึงที่พักเมยที่คอยอยู่ด้วยความเป็นห่วงก็ยิ้มแย้มอย่างดีใจที่เห็นเธอปลอดภัย หลังจากจัดแจงสวมเสื้อผ้าแล้ว ก็ชวนเด็กสาวไปเป็นเพื่อนเธอ เพื่อไปหาโจแอนนาก่อน ซึ่งก็พบว่าเธอยังไม่ได้สติโดยมีสามีดูแลอยู่ จึงปล่อยให้โจแอนนาพักผ่อน แต่เมื่อเธอบอกจะไปเยี่ยมนายดา สาวน้อยเมยกลับไม่ยอมตามไปด้วยเหตุผลเดิม ซึ่งทำให้เธอคิดในใจว่าสักวันจะพายายหนูมาหาเมยให้ได้ พอก้าวเข้าไปในกระท่อมที่มืดมิด เพราะเจ้าของล้มตัวลงนอนอยู่บนเตียง เธอจึงจุดไฟขึ้นแล้วเข้าไปดูอาการด้วยความเป็นห่วงก็พบว่าชายหนุ่มนอนโดยยังสวมเสื้อผ้าขาดๆนั้นอยู่บนร่างยังมีบาดแผลปรากฏให้เห็นอยู่หลายแห่ง จึงลังเลใจว่าจะไปตามหมอโยฮันดีหรือไม่ สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่รบกวนหมอ จึงลองเรียกละออ ไม่นานลูกสาวก็ออกมาให้เห็น จากนั้นจึงถามถึงที่เก็บยา แล้วจัดการทำแผลโปะยาให้เขา โดยถามจากหนูน้อย เมื่อทำแผลเรียบร้อยจึงพยายามเปลี่ยนเสื้อให้ ก็พบสร้อยที่ร้อยอัญมณีรูปหยดน้ำไว้ กับอีกเส้นเป็นลูกแก้วสีดำสนิท แม้เธอจะเชี่ยวชาญด้านอัญมณีแต่ก็ดูไม่ออกว่าทั้งสองเป็นชนิดไหน ถัดมาเป็นมีดแก้วรูปเขี้ยวที่ดูท่าเจ้าของคงเหน็บติดไว้ตลอดเวลาขนาดนอนยังไม่ยอมปลดออกเธอจึงไม่กล้าเอาออก จากนั้นก็สวมเสื้อตัวใหม่ให้ แต่พอพยายามออกแรงพลิกตัวให้เขาเพื่อจะสวมเสื้อก็พบกับปีกสีดำคู่หนึ่งบนแผ่นหลังกว้างใหญ่ ทำเอาหญิงสาวถึงกับชะงักแต่เมื่อพิศดูชัดๆ ก็พบว่าเป็นรอยสัก เป็นรอยสักที่วิจิตรมากดูคล้ายกับว่าเขามีปีกคู่หนึ่งจริงๆ ด้านล่างของปีกสักอักษรที่เธออ่านไม่ออกไว้แถวหนึ่ง พอเธอยื่นมือสัมผัสด้วยความรู้สึกที่ว่า ปีกคู่นี้จะนุ่มเหมือนขนนกจริงๆหรือเปล่า ยังไม่ทันจะได้สัมผัสเจ้าของปีกก็ลืมตาขึ้นเสียก่อน แล้วพลิกตัวอย่างลำบากจนเธอต้องช่วยประคอง แล้วจัดแจงสวมเสื้อให้เรียบร้อย แม้มีเรื่องมากมายอยากจะบอกแต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี สุดท้ายทั้งคู่กลับพูดประโยคเดียวกัน คือ ขอบคุณหลังจากวันนั้นทั้งคู่ก็ดูเหมือนความสัมพันธ์จะขยับใกล้ชิดกันมากขึ้น เวลาผ่านไปนับอาทิตย์จนเธอลืมไปแล้วไปแล้วว่าเหตุใดจึงยังอยู่ที่นี่และเธอยังมีคู่หมั้นอยู่ แม้มรสุมลูกใหญ่ได้พัดผ่านไปจากภูมิภาคนี้แล้วแต่หญิงสาวก็ไม่มีความคิดที่จะกลับไป เธอรู้สึกว่าการอยู่ที่นี่ทำให้มีความสุข เพียงแต่ผู้ชายคนนี้นี่สิยิ่งเข้าใกล้เขายิ่งขยับออกห่างจนเธอนึกเคือง กระทั่งในวันหนึ่งเธออุตส่าห์ทิ้งความเป็นกุลสตรี จนแลกมาได้กับหนึ่งจูบ แม้ว่าจะรับรู้ได้ว่าเขาและเธอมีความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน แต่ดูเหมือนชายหนุ่มกลับพยายามหลีกเลี่ยงด้วยเหตุผลบ้างอย่าง“ ดา แย่แล้ว อีฟ ถูกงูกัด “ โจแอนนา วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาชายหนุ่มในเช้าวันหนึ่ง ได้ยินดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งออกไปดู ก็พบว่าโยอันอยู่กับเธอ เฝ้าดูอาการที่เพิงแห่งหนึ่งด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความกังวล“ งูจงอาง ดาและเราไม่มีเซรุ่ม “ โยฮัน บอกด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง แต่ชายหนุ่มยังคงสงบ พลางปลดดวงแก้วที่อำไพเคยเห็นว่ามันเป็นสีดำ เพียงแต่ตอนนี้มันกลับใสเหมือนแก้ว เมื่อวางดวงแก้วลงบนรอยเขี้ยวที่ต้นแขนจากความใสก็เริ่มขุ่นมัวที่ละน้อยสักครู่เมื่อความขุ่นคงที่ สีหน้าของหญิงสาวก็ดีขึ้น บรรดาผู้คนรอบข้างต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก มีเพียงชายหนุ่มที่สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เมื่อถามเรื่องราวจากคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพูดเหมือนกันว่าเหมือนหญิงสาวจะมองไม่เห็นงูตัวนั้นทั้งๆที่ทุกคนต่างก็เห็นเพราะขนาดของมันยาวไม่ต่ำกว่า4เมตรแม้จะส่งเสียงเรียกก็เหมือนเธอจะไม่ได้ยิน หลังจากวันนั้นเขาก็ยิ่งทำตัวเหินห่างจากเธอมากขึ้น หายไปในป่าทั้งวันกลับมาอีกทีก็มืดค่ำ วันไหนที่หญิงสาวจะมาหาเขาก็จะหายไปจากที่พักเหลือไว้แต่ละออให้อยู่กับเธอ ตอนเช้าวันหนึ่งหญิงสาวตัดสินใจตามชายหนุ่มเข้าไปในป่า ซึ่งน่าแปลกที่วันนี้เขาบอกไม่ให้ใครตามไปด้วย เธอจึงเรียกละออให้ช่วยนำทางเพื่อตามเขาไป หลังจากเดินตามชายหนุ่มมานับชั่วโมง จนกระทั่งเมื่อยล้าแทบเดินต่อไปไม่ไหวแต่ก็ยังอุ่นใจที่มีลูกสาวตัวน้อยอยู่ข้างๆ กำลังจะพ้นชายป่าเสียงเล็กๆเตือนให้เธอหยุด เมื่อมองออกไปข้างหน้าก็พบว่าเธอเดินมาถึงเส้นทางสายใหญ่ที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ และเธอก็พบเขายืนอยู่กลางพื้นดินราบเรียบนั้นเบื้องหน้าประกอบไปด้วยทหารสี่นายนั่งอยู่บนรถจี๊ปในชุดพรางดูจากลักษณะอันคุ้นตาเธอมั่นใจว่าน่าจะเป็นทหารของรัฐบาลที่กุมอำนาจในปัจจุบัน ที่ด้านหลังรถจี๊ปยังประกอบด้วยรถบรรทุกลำเลียงพลอีกสองคันซึ่งก็มีทหารพร้อมอาวุธครบมืออยู่เต็มทั้งสองคันดูไปแล้วน่าจะได้รับคำสั่งให้ออกปฏิบัติภารกิจอะไรสักอย่าง เมื่อทั้งขบวนหยุดลงโดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งขวางทาง บรรดาทหารที่นั่งบนรถคันหน้าก็พากันลงมาอย่างคุกคามพลางชักอาวุธมาถือไว้อย่างเตรียมพร้อม หญิงสาวเพ่งดูนายทหารที่เดินนำมาแลดูคุ้นตา ขณะที่ยังไม่รู้ว่าสมควรจะทำเช่นไร พวกบุรุษเบื้องหน้าก็เริ่มเคลื่นไหว โดยนายทหารที่นำหน้าขบวนชักปืนพกขึ้นมาเล็งไปที่ชายหนุ่มผู้ขวางทางแล้วตะโกนข่มขู่ด้วยภาษาถิ่น แต่เขาก็ยังยืนอย่างสงบนิ่งไม่ตกใจที่ถูกปืนเล็งแล้วตอบนายทหารผู้นั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบด้วยภาษาเดียวกัน ซึ่งเธอเองก็ฟังไม่ออกเพราะแตกต่างจากภาษาของชาวบ้านที่เธออาศัยอยู่ด้วยในปัจจุบัน เมื่อเห็นชายหนุ่มตอบนายทหารคนนั้นก็มีท่าทีไม่พอใจแล้วทำท่าจะลั่นไก หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงเอามือป้องปากด้วยความตระหนก แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น เห็นเพียงนายทหารคนนั้นหน้าตาตื่นแล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่เหลือ ต่างก็ชักอาวุธขึ้นมา ขณะนั้นเองอยู่ดีๆ ก็เกิดลมกรรโชกแรงราวกับมีพายุเข้าท้องฟ้าที่เคยสว่างพลันมืดลงอย่างน่ากลัว“ กลับไปเถอะครับ ผู้กองหมู่บ้านข้างหน้าไม่มีของที่คุณตามหาอยู่หรอก “ ชายหนุ่มพูดขึ้นเรียบๆแต่น้ำเสียงฟังดูมีอำนาจล้นเหลือ ยิ่งประกอบกับบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งชวนให้ขวัญผวา นายทหารที่ชายหนุ่มเรียกว่าผู้กอง ยืนอยู่อย่างตระหนกแม้ด้านหลังจะมีกองกำลังอาวุธครบมือแต่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกับเขา ซึ่งเขาได้รับภารกิจให้มากวาดล้างหมู่บ้านกระเหรี่ยงโดยรอบ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีแฝงไปด้วยการหาทองคำที่พวกญี่ปุ่นซ่อนไว้หลังแพ้สงครามซึ่งเขาเองได้ใช้ภารกิจนี้บังหน้า แต่ชายหนุ่มเบื้องหน้ากลับรู้เรื่องนี้จึงทำให้เขาตกใจ แถมพอจะปิดปากอาวุธในมือกลับไม่ทำงาน ไม่ใช่แค่ของเขาเท่านั้นบรรดาลูกน้องสามคนก็เป็นเช่นกัน ลูกน้องด้านหลังทั้งหมดต่างลงจากรถบรรทุกต่างเล็งปืนมายังเป้าหมายเบื้องหน้า ในตอนนั้นเองลมที่กรรโชกพลันหยุดนิ่ง เหลือไว้แต่ความมืดทั้งๆที่เป็นเวลากลางวัน เมฆดำก้อนใหญ่เข้าปกคลุมดวงอาทิยต์ราวกับกลืนกินแสงสว่างไปจนหมดและจะทำให้ที่แห่งนี้มืดมิดไปตลอดกาล ลมหยุดไม่ทันไร บรรยากาศรอบๆก็เริ่มเย็นยะเยือกน่าขนลุก เหล่าทหารพากันมองหน้ากันเลิ่กหลั่กรอคอยคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาซึ่งยืนนิ่งคล้ายกับโดนสภาพรอบตัวขู่จนขวัญหนีหายไปหมดแล้ว ด้วยความหวาดกลัวนั้นเองทหารคนนึงก็กดไกปืนดังแก๊กขึ้นทำลายความเงียบ ส่งผลให้คนที่เหลือสะดุ้งต่างพากันลั่นไกตาม ปรากฏเป็นเสียงดัง แก๊กๆๆๆ ขึ้นหลายครั้ง เมื่อปืนต่างใช้ไม่ได้ทหารทุกนายต่างหน้าซีดขาสั่น เมื่อสิ้นเสียงไกปืนครั้งสุดท้าย ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงอื้ออึง ดังมาจากป่ารอบตัวบางก็ได้ยินเป็นเสียง คำราม กรีดร้อง เมื่อเสียงนั้นเงียบไปทุกคนต่างรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองด้วยสายตาหลายร้อยคู่ ถึงตอนนี้ทหารบางคนถึงกับทรุดลงร่ำร้องอย่างหวาดกลัว“ กลับไปเถอะครับ ก่อนจะไม่มีใครได้กลับไป อ่อ ฝากบอกหน่วยเหนือพวกคุณด้วยยกเลิกคำสั่งกวาดล้างเถอะครับ แค่นี้ก็เสียเลือดเนื้อกันมามากแล้ว หาไม่แล้วผมจะไปเยี่ยมพวกท่านด้วยตัวเอง “ สิ้นคำปืนในมือของพวกทหารต่างพากันร่วงลงพื้น หญิงสาวที่เฝ้าดูเหตุการณ์โดยตลอดก็ประหลาดใจ เพราะเท่านี้เธอรับรู้ก็มีเพียงลมแรงกับเมฆมาบังแสงตะวัน นอกนั้นเธอก็เห็นทหารต่างพากันทิ้งปืน เมื่อสถานการดีขึ้นเธอจึงออกมาเพราะจำได้แล้วว่านายทหารคนนั้นคือเพื่อนของว่าที่คู่หมั้นที่ช่วยอำนวยความสะดวกมาตลอด ซึ่งอีกฝ่ายเมื่อเห็นเธอก็ประหลาดใจเช่นกัน“ ผู้กองอ่องเส็ง มาตามหาฉันหรือคะ “ หญิงสาวถามด้วยความไม่รู้เพราะคิดว่าพวกเขามาตามหาเธอ เพียงแต่ยกพลมาพร้อมอาวุธครบมือแบบนี้ออกจะเอิกเกริกมากเกินไปหน่อย“ เอ่อ ... คุณอำไพ คุณมาอยู่นี่ได้อย่างไรครับ “ ผู้กองหนุ่มก็ถามอย่างสงสัย ทั้งคู่สนทนากันเป็นภาษาอังกฤษ โดนมีดายืนอยู่เงียบๆ เมื่อนายทหารหนุ่มถาม หญิงสาวก็โกหกไปว่าพลัดหลงกับคณะตอนเกิดพายุแล้วได้นายดากับชาวบ้านกระเหรี่ยงที่กลับจากการซื้อของช่วยไว้แล้วอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจนพ้นมรสุม และทำให้เธอรู้ว่าคณะของคู่หมั้นก็ปักหลักค้นหาอยู่นานจนมรสุมเริ่มแรงขึ้นเลยกลับเข้าไปในเมืองและตอนนี้เริ่มเตรียมตัวออกค้นหาเธออีกครั้งแล้ว ผู้กองจึงเสนอว่าให้เธอกลับไปพร้อมกับเขาเลย แต่หญิงสาวก็ปฏิเสธ ด้วยข้ออ้างเกรงใจเพราะเขากำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ เพียงแค่ส่งข่าวถึงคณะของเธอก็พอโดยเธอจะกลับไปรอที่หมู่บ้าน เมื่อทหารถอนกำลังกลับไปแล้ว ชายหนุ่มจึงพาเธอกลับหมู่บ้าน“ ทำไมต้องหลบหน้าฉัน “ หญิงสาวฉุดแขนเขาไว้ระหว่างทาง ถามด้วยความน้อยใจ ชายหนุ่มเพียงหันมามองเธอเงียบๆไม่พูดอะไร แต่สายตานั้นเต็มไปด้วยความเสียใจ“ ทำไมไม่ตอบล่ะ คุณก็ได้ยินแล้วนี่ ว่าที่คู่หมั้นฉันกำลังจะมา ไม่คิดจะพูดอะไรเลยหรือ “ เธอตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความน้อยใจและโมโห น้ำใสๆไหลลงมาจากดวงตาคู่งาม“ บอกฉันสิว่าคุณก็รู้สึกเหมือนฉัน ไม่ใช่ฉันที่คิดไปเองฝ่ายเดียว “ หญิงสาวหมดเรี่ยวแรงจะยืน ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นร่ำไห้อย่างน่าสงสาร ชายหนุ่มทำได้เพียงยืนดูเงียบแม้ใจอยากจะโอบกอดเธอไว้แนบกายแล้วบอกเธอว่า เขาเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเธอ เพียงแต่ว่าภาพที่เธอกำลังจะตายเพราะพิษงูแล่นเข้ามาในความคิด ถ้าหากวันนั้นเขาไม่มีมณีนาคราช บางที... แค่คิดเขาก็ปวดใจแล้ว เพียงแค่จูบเดียวก็ชักนำอันตรายถึงชีวิตมาหาเธอ “ ผม...ต้องปล่อยคุณไป “ ชายหนุ่มพูดเพียงสั้นๆ หลังจากร้องไห้จนพอใจแล้วหญิงสาวก็ลุกขึ้นแล้วออกเดินระหว่างทางทั้งคู่มีแต่ความเงียบงัน ห้าวันหลังจากนั้นคณะของพันโทศาตร์ก็มาถึงหมู่บ้าน ตลอดเวลาห้าวันนั้นทั้งเธอและเขาไม่ได้พูดกันอีกเลย ชายหนุ่มไม่แม้จะอธิบายให้เธอเข้าใจ ปล่อยให้เธอคิดไปต่างๆนาๆ ในใจของเธอหากแม้ชายหนุ่มรั้งเธอไว้ เธอก็พร้อมจะละทิ้งทุกอย่างเพื่ออยู่ที่นี่กับเขาแต่จนถึงวันสุดท้ายเขาก็ยังคงนิ่งเฉย ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจได้ว่าเขาคงไม่ได้รักเธอมากเหมือนที่เธอรักจึงตัดสินใจร่ำราผู้คนทั้งหมด แล้วกลับพร้อมว่าที่คู่หมั้นของเธอ โดยมี เมย โจแอนนา กอดร่ำลาด้วยน้ำตา เมื่อคณะเดินทางออกจากหม่บ้านแล้ว ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่บนเนินพร้อมกับส่งหญิงสาวผู้เป็นที่รักจากไป แล้วพูดขึ้นเบาๆ “ ไปอยู่กับแม่นะลูก ฝากดูแลแม่แทนพ่อด้วยนะ “ งานเลี้ยงยามค่ำที่จัดขึ้นอย่างหรูหราในคฤหาสน์ของตระกูล พลชนะสงคราม ตระกูลขุนนางสายทหารเก่าแก่ จัดขึ้นเพื่อฉลองให้กับคู่บ่าวสาว ซึ่งเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก การสมรสระหว่างตระกูลเก่าแก่สองตระกูล หนึ่งทรงอิทธิพลอีกหนึ่งร่ำรวยมหาศาล เพียงแต่ถ้าจะสังเกตุใบหน้าของเจ้าสาวในชุดราตรีสีครีมที่ดูจะไม่สดใสเท่าที่ควร เพื่อนๆและญาติสนิทกลับคิดไปว่าเธอคงเหนื่อยจากพิธีในช่วงเช้า หลังจากตระเวนรับแขกผู้ใหญ่อยู่นานเจ้าสาวจึงกลับมานั่งพักที่โต๊ะ ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดก็ได้ยินเสียงทักทายอันคุ้นเคย“ เจ้าสาวคนสวยมานั่งทำอะไรคนเดียวจ๊ะ “ เสียงทักทายด้วยภาษาอังกฤษ ทำให้เธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เมื่อหันมามองยังต้นเสียงเจ้าสาวก็เผยยิ้มอย่างดีใจ แล้วลุกขึ้นโผเข้ากอดเพื่อนสาวที่ไม่ได้พบกันนานหกเดือน“ แอนนา คุณจริงๆด้วย ฉันดีใจจริงๆที่คุณมา “ เจ้าสาวดีใจจนน้ำตาคลอ ท่าทางสดใสขึ้นทันตา เมื่อมองไปยังด้านหลังของเพื่อนสาว ก็พบว่าโยฮันสามีของเธอก็มาด้วย จึงเดินเข้าไปกอดทักทายด้วยอีกคน“ ว้าว คุณสวยมากจริงๆอีฟ “ หมอหนุ่มเอ่ยชมด้วยความจริงใจ เมื่อทักทายกันเรียบร้อยแล้วเจ้าสาวจึงพาเพื่อนรักทั้งสองคนไปพบบรรดาญาติผู้ใหญ่แล้วแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักพวกท่าน เสร็จแล้วถึงเดินกลับมาที่โต๊ะตัวเดิมเพื่อพูดคุยกันให้หายคิดถึง ก็ได้ความว่าทั้งคู่ต้องออกจากหมู่บ้านมาเพื่อความปลอดภัยเพราะรัฐบาลได้ออกคำลั่งกวาดล้างชนกลุ่มน้อย ทำให้ที่นั่นไม่ปลอดภัยและดาเป็นคนขอร้องให้พวกเขาออกมา จากนั้นจึงพาชาวบ้านอพยพขึ้นไปทางเหนือ โดยบอกเพียงว่าคงเกิดสงครามภายในไม่ช้าแล้วน่าจะกินเวลาไปอีกนาน ซึ่งอำไพก็รับฟังด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้นเพราะเธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ก่อนจากกันโจแอนนาได้ยื่นจมหมายและถุงผ้าเล็กๆใบหนึ่งให้กับเธอ' ผมขอโทษที่ทำให้คุณเสียใจ คำถามที่คุณถามผมวันนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่อาจตอบได้ในทันที เพราะกลัวว่าจะทำให้ไม่สามารถปล่อยคุณไปได้ และผมก็รู้ว่าคุณเองก็เช่นกัน หากได้ยินคำตอบวันนั้นผมกลัวเหลือเกินว่าคุณจะยอมสละทุกสิ่งเพื่ออยู่กับผม เพียงแต่ผมไม่อาจทำเช่นนั้นได้จึงจำเป็นต้องปล่อยคุณไป ตอนนี้คุณคงคิดว่าผมมีเหตุผลอะไรในเมื่อเราสองคนต่างก็รักกัน สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ ถ้าคุณอยู่กับผมคุณจะต้องจากผมไปไหนไม่ช้า ซึ่งผมไม่อาจปกป้องคุณได้ทุกครั้ง เมื่อคุณพบเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายเกินกว่าจะเป็นไปได้คุณคงเชื่อผมถ้าผมจะบอกว่า ผมไม่อาจจะอยู่กับคนที่รักได้เพราะต้องลักษณะสมบูรณ์พร้อมสิบประการ สิ่งชั่วร้ายจะบันดาลอันตรายให้เกิดกับคนที่ผมรักทุกคน .........เพราะรักผมจึงต้องปล่อยคุณไป สุดท้ายผมขอให้นางอันเป็นที่รักของผมมีความสุข ผมขอมอบของขวัญสองชิ้นให้คุณจะรักคุณไปจนชั่วชีวิต’หญิงสาวอ่านจดหมายทั้งน้ำตาเมื่อเก็บจดหมายแล้วจึงเปิดถุงผ้าดู ก็พบสร้อยคออัญมณีรูปหยดน้ำสีชมพูจางๆ ด้านในมีกระดาษแผ่นเล็กเขียนว่า“ หยาดกินรี อัญมณีแห่งโชคและทรัพย์สมบัติ เหนือสิ่งอื่นใด คือมอบให้แด่สตรีอันเป็นที่รัก “อ่านจบแล้วเธอก็คว้ามาไว้แนบอก เมื่อกายไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างน้อยความรักก็จะคงอยู่ไปจนชั่วชีวิตและในที่สุดเธอก็รู้ว่าของขวัญชิ้นที่สองคืออะไร เมื่อได้ยินเสียง “ แม่จ๋า “ดวงตาที่ยังสดใสของหญิงชราแม้วัยจะล่วงเลยมากว่าเจ็ดสิบปีแล้ว ที่คอที่เหี่ยวย่นไปตามวัยยังคงมีสร้อยคล้องอยู่ เธอไม่เคยถอดออกเลยนับตั้งแต่ได้มันมา ภาพเหตุการณ์ในวันวานยังคงแจ่มชัดและจดหมายในมือยังเป็นหลักฐานว่าที่ผ่านมาไม่ได้เป็นเพียงความฝัน ในวันนี้เองที่ภาพในอดีตได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อได้รู้ว่าชายผู้เป็นที่รักได้จากโลกนี้ไปแล้ว เขาที่แม้ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันแต่ความรักนี้มีให้กันนั้นไม่เคยเลือนหายไป น้ำตาที่ไม่อาจห้ามได้ค่อยๆไหลลงมาอาบแก้ม ข่าวร้ายที่ออกมาจากปากของลูกสาวตัวน้อยที่ไม่เคยเติบโตขึ้นเลย แม้จะผ่านความสูญเสียมาหลายครั้ง มีเพียงครั้งนี้ที่เธอรู้สึกหมดหวังตัดพ้อกับโชคชะตาที่สุด ทำได้เพียงกอดร่างเล็กๆแล้วร้องไห้ไปด้วยกันและหวังว่าชาติหน้าทั้งเขาและเธอคงจะได้อยู่ร่วมกัน

1 ความคิดเห็น :