AEl5Nk.gif AEl5Nk.gif


เหตุเกิดที่โรงแรมblPdyV.gif
โดย Tom Mm

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
29/07/66

เต้ยกับพี่ติ่ง blPdyV.gif
โดย ตฤษณา

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

ผิดที่เมย์เองเลยโดนจับขึงพืดblPdyV.gif
โดย Uratarou

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

ฝึกงานที่บริษัทขายหมู่บ้านจัดสรรblPdyV.gif
โดย 子翔吳

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

พ่อเลี้ยงของหนู EP1blPdyV.gif
โดย Ken Ken

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

With No Remorse Chapter 11

With No Remorse Chapter 11

14.30 น. บ้านพัก เชียงใหม่ รถเก๋งคันกะทัดรัดเลี้ยวตามถนนโรยกรวดเข้าจอดหน้าบ้านพักสองชั้นหลังย่อม รจนาเดินออกมาจากบ้านในชุดพยาบาล ขาวสะอาดตามาหยุดยืนที่หน้าประตูบ้าน เธอเพิ่งจะกลับมาจากที่ทำงานได้ไม่นาน ในรถคันนั้นทำความประหลาดใจให้เธอ ด้วยว่าผู้โดยสารนั้นไม่ได้มีเพียงลุง
การุณย์ของเธอเพียงผู้เดียวแต่มีผู้หญิงนั่งมาข้าง ๆ ด้วย ความสงสัยนั้นคงอยู่ไม่นาน เมื่อทั้งสองเปิดประตูลงมายืน รจนาเดินเข้าไปหาทั้งสองคน “สวัสดีค่ะ คุณลุง สวัสดีค่ะคุณอากานดา ไม่เห็นลุงบอกเลยว่าอากานดาจะมาวันนี้” คำสุดท้ายหันไปถามการุณย์ “ก็คุณกานดาเพิ่งบอกนี่แหละ เดี๋ยวนอนกับหนูรจแล้วกัน” “ได้ค่ะ คุณอามาก็ดีแล้ว จะได้ไปงานแต่งกับคุณลุงเลย” รจนาพูดยิ้ม ๆ “อ๊ะไม่ได้หรอกจ๊ะ อาไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าไปงานมาด้วย” กานดาตอบพร้อมกับเดินเข้าไปกอดรจนาอย่างสนิทสนม เธอรู้จักบุตรชายดีพอจะตระหนักได้ว่าลูกชายของเธอคงจะได้สาวน้อยหน้าตาคมคายคนนี้เป็นคู่ชีวิต และยิ่งเมื่อได้รู้จัก สาวน้อยมากขึ้นเธอก็เริ่มรักสาวน้อยคนนี้เสียเหมือนจะเป็นบุตรีคนหนึ่งไปด้วย “คุณอารูปร่างพอ ๆ กับหนู ลองของรจไหมคะ อาจจะเด็กไปหน่อย คุณอารังเกียจหรือเปล่าคะ” รจนากอดสาวใหญ่ อย่างสนิทสนม ยิ่งกานดาเดินโอบเธอตรงเข้าบ้านไปนั้น อ้อมกอดของกานดาช่างอบอุ่นด้วยเธอนั้นสูญเสียมารดาไป เนิ่นนานแล้ว ยามนี้อ้อมกอดนั้นจึงแผ่ความรัก ความอบอุ่นมายังตัวเธอจนเธอต้องสูดจมูก “ไม่รังเกียจหรอกจ๊ะ เอ๊ะ หนูรจเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมเนี่ย” กานดาหยุดเดินหันมาถาม การุณย์ที่หิ้วกระเป๋าเดินทางของ กานดาก็หยุดหันมามองอย่างสนใจเจือความกังวลห่วงใยหลานสาวที่เลี้ยงมากับมือ “เปล่าค่ะคุณอา แต่รจ..เอ่อ แค่ คิดถึงแม่ขึ้นมาน่ะค่ะ” รจนาตอบพลางสูดจมูก จบคำว่าแม่ หยาดน้ำใสก็ไหลลงมาเป็นทาง กานดาดึงร่างสาวน้อยเข้ามากอดแนบสนิท “โอ๋ ไม่เป็นไรนะลูก” กานดาพูดอย่างไม่ได้คิด ยามนั้นร่างบาง ๆ ของสาวน้อยในอ้อมกอดก็พลันสะท้านไหวด้วย แรงสะอื้น “คิดถึงก็กอดอานะลูก ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวตาบวมไม่สวยนะลูก” “ตายละ ยายรจ ขี้แยซะแล้ว” การุณย์พูดพลางเบี่ยงตัวเดินเข้าบ้านพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “เอ๊ะ คุณต้นนี่ มาหัวเราะหลานได้ยังไง” กานดาหันไปต่อว่า แล้วหันมากอดร่างบาง ๆ นั้นไว้พลางลูบหลังสาวน้อย อย่างปลอบประโลม “แล้วนี่จะให้อาไปลองเสื้อไหมนี่ เดี๋ยวจะได้แต่งตัวไปด้วยกัน ถ้าร้องมาก ๆ ตาบวมจะไม่สวยนะคะ” รจนาผละออกจากอ้อมกอด ปาดน้ำตาทั้ง ๆ ที่ยังสูดสมูกฟืดฟาด ยืนนิ่งเอนตัวตามมือของกานดาที่ดึงเข้าไปหอมแก้ม เบา ๆ หมุนตัวเดินเข้าบ้านไปตามมือของกานดาที่ดึงข้อมือไปอย่างสนิทสนม “ไปดูเสื้อหนูรจก่อนเถอะนะ” กานดาบอกแต่กลับยืนนิ่ง หันมาหารจนายิ้ม ๆ “เจ้าของบ้านไม่นำแล้วอาจะไปถูกหรือจ๊ะ” “ตายจริง รจลืมไปค่ะ คุณอา ทางนี้เลยค่ะ” ยามนี้เธอเหมือนเป็นสาวน้อยที่ร่าเริง ความรู้สึกข้างในที่ว่างเปล่าเพราะขาดแม่ มาแต่เด็กนั้นเหมือนเต็มปรี่ขึ้นมาเพียงด้วยอ้อมกอดและหอมของกานดา เธอเดินนำพร้อมกับดึงมือกานดาตามไปอย่ง สนิทสนม การุณย์เดินออกมาจากห้องครัว มือถือแก้วน้ำที่เย็นจนไอจับเป็นฝ้าออกมา “คุณดา ดื่มน้ำก่อนไหมครับ” มือยกแก้วน้ำขึ้นชูให้กานดาที่หันมามอง “เดี๋ยวก็ได้ค่ะ เดี๋ยวไปดูเสื้อผ้ากับหนูรจก่อน” .................... 17.05 น. ราวป่าในป่าทึบติดพรมแดนพม่า ใต้ร่มไม้ทึบนั้น ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ฝึกการสังเกตมาอย่าโชกโชนหรือไม่มีอุปกรณ์ช่วย ก็ไม่มีใครจะบอกได้ว่าในบริเวณนั้นมี คนกลุ่มหนึ่งแฝงตัวอยู่อย่างเงียบสงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใบไม้ในป่ารกเรื้อบดบังแสงแดดอ่อน ๆ ยามเย็นไปจนใต้ ดงไม้นั้นเหลือเพียงแสงสลัว ในคนกลุ่มนั้นส่วนใหญ่มีเพียงสองคนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทในขณะที่อีกสิบกว่าคน ที่เหลืออยู่ในชุดพรางทะมัดทะแมง แต่ที่ทุกคนเหมือนกันนั้นคือทั้งหมดทาใบหน้าและส่วนของร่างกายที่พ้นการปิดบัง ของเสื้อผ้าด้วยสีฝุ่นพรางสีดำ ยามนี้ทั้งหมดหันหน้าเข้าหาที่ว่างตรงกลางที่ศรัณย์ใช้นิ้วขีดวาดเป็นแผนผังพลางอธิบาย ทบทวนแผนปฏิบัติการอีกครั้งทั้งที่ได้ฝึกทำความเข้าใจกันมาเป็นสิบ ๆ เที่ยวในหลายวันที่ผ่านมา สายตาทุกคู่ไม่ได้ ฉายแววเบื่อหน่ายแต่กลับมุ่งมั่นด้วยสำนึกในหน้าที่และขั้นตอนต่าง ๆ ที่ฝึกฝนกันมานานหลายปี บางครั้งหนึ่งหรือสองคน ในนั้นก็ยืดตัวขึ้นสอดส่ายสายตาระวังระไวไปรอบ ๆ หยุดมองตามแนวต้นไม้ที่เริ่มมืดจนเป็นเงาตะคุ่ม ๆ ศรัณย์จบคำพูด พร้อมกับวรวุฒิที่ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา คนอื่น ๆ ต่างยกนาฬิกาขึ้นมอง แสงพรายน้ำสีเขียวเรืองส่องให้เห็นเหลี่ยมเงา ของใบหน้าที่พรางดำสนิทนั้นในความมืด “เวลาเริ่มปฏิบัติ ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบ ขณะนี้เวลา สิบ เจ็ด สอง ศูนย์ อึ๊บ” วรวุฒิบอกพร้อมกับที่ทุกคนหมายเวลาตามนาฬิกา ของตนพร้อมกับเสียงอึ๊บสั้น ๆ ทั้งหมดเริ่มขยับตัวแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม นำโดยชาติชายและศรัณย์ “ตรวจอาวุธ” สิ้นเสียงสั่ง ทุกคนก็ขยับอาวุธในมือขยับลูกเลื่อนเปิดออก ค่อย ๆ ดึงกระสุนที่ค้างในรังเพลิงออกมา แล้ว ดันลูกเลื่อนส่งกระสุนนัดใหม่เข้ารังเพลิง แล้วปลดซองกระสุนออกมายัดกระสุนนัดที่เพิ่งดึงออกกลับเข้าซองกระสุน แล้วเสียบกลับที่เดิม วรวุฒิเองเมื่อจัดการกับอาวุธคู่มือแล้วเงยหน้าขึ้นมองฝ่าแสงที่เกือบมืดสนิท เมื่อมองเห็นมือที่ยกนิ้ว หัวแม่มือชูขึ้นครบทุกคนแล้ว จึงหันไปรอบ ๆ “วันนี้ เรามากัน สิบห้า และจะกลับไปทั้งสิบห้า ทลายมันให้ราบ ตามแผน ทุกคนดูแลตัวเองและเพื่อน ๆ ด้วย พร้อมแล้ว ไปได้” สิ้นเสียงสั่งเรียบ ๆ นั้น ทุกคนก็ขยับตัวออกเดินกันไปในความมืดอย่างเงียบกริบ .................... 18.30 น. โรงแรมทิพย์ช้าง ลำปาง อากาศยามค่ำต้นหนาวเย็นสบายด้วยลมโชยระรื่น อาคารใหญ่ของโรงแรมหรูกลางเมืองลำปางสว่างไสวด้วยแสงไฟแรงสูง ที่ส่องกระทบตัวอาคารเห็นเด่นผงาดตัดฟ้ามืดที่ประดับด้วยดาราพราวพราย ไฟราวที่ติดประดับตามไม้ใหญ่ไม่พุ่มเพิ่ม ความสวยงามสดใสละลานตา การุณย์แต่งชุดสากลดูภูมิฐานเดินเคียงคู่ไปกับกานดาที่อยู่ในชุดสีอิฐเรียบ ๆ แต่ดูเหมาะสม กับวัยดั่งกับเป็นเสื้อผ้าของเธอเอง ส่วนรจนาที่อยู่ในชุดราตรีสั้นชมพูเดินมาข้าง ๆ เข้าสู่อาคารใหญ่ เลี้ยวเลาะตามผ่าน โถงรับแขกไปยังห้องโถงอีกห้องหนึ่ง หน้าห้องนั้นเจ้าบ่าวในชุดราตรีสโมสรยืนเคียงกับเจ้าสาวในชุดขาวสะอาดตา สองข้างกระหนาบด้วยบิดามารดาที่ยืนคอยต้อนรับขับสู้ผู้มาร่วมงาน การุณย์พากานดาและรจนาเข้าไปทักทายบิดามารดา ของบ่าวสาวคู่นั้นก่อนจะทักทายเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้วพาหลานสาวเข้าสู่ห้องโถงที่จัดเรียงด้วยโต๊ะปูผ้าขาวสะอาด ชายวัย ไล่เรี่ยกับการุณย์สองสามคนที่นั่งอยู่ก่อนโบกมือเรียก ทั้งสามคนเดินเข้าไปหาทักทายผู้ที่นั่งอยู่ในโต๊ะนั้น “คุณกานดา มาเมื่อไรครับ” ชายคนหนึ่งในโต๊ะเอ่ยถามเมื่อเห็นกานดา “มาเมื่อบ่ายนี้เองค่ะ คุณต้นชวนมาเลยขอยืมเสื้อผ้าหลานใส่น่ะค่ะ สวัสดีค่ะ” กานดาตอบพร้อมกับทักทายผู้ที่นั่งอยู่ในโต๊ะ นั้นด้วยทั้งหมดนั้นเป็นเพื่อนของการุณย์ที่เธอรู้จักมานานแล้วนั่นเอง “เฮ้ย วันนี้ไอ้ต้นควงสองเลยเว้ยเฮ้ย” เพื่อนคนหนึ่งกระเซ้า “เมื่อไรแจกการ์ดวะต้น” “เฮ้ย จะพูดอะไรระวังปากมั่ง” การุณย์ตอบเพื่อนขณะที่ขยับเก้าอี้ให้กานดา “ของใครล่ะ ของข้า หรือของหลาน” ทุกคนในโต๊ะหัวเราะกันครึกครื้น มีแต่เพียงกานดากับรจนาที่หน้าแดงซ่าน “ของเอ็งแหละ เฮ้ย นี่หลานมีแฟนแล้วเหรอเนี่ยว้า..” “ยังรอคำตอบอยู่ว่ะ” การุณย์ตอบยิ้ม ๆ กานดานั่งหน้าแดงระเรื่องพอ ๆ กับรจนาที่ไม่แต่หน้าแดงแต่ยังมองผู้เป็นลุง อย่างเคือง ๆ นิด ๆ “เอ็งก็ถามหลานเอาเองซิวะ เรื่องนี้ข้าตอบแทนไม่ได้ว่ะ” เท่านั้นเอง คราวนี้เหล่าบรรดาน้า อา ป้า ลุง ทั้งหลายก็ถามรจนากันยกใหญ่ด้วยว่าเธอเองก็สนิทสนมกับเพื่อนการุณย์ ครบทุกคนอยู่แล้ว เพื่อนการุณย์คนหนึ่งเอนหลังพิงกับเก้าอี้พลางบ่นออกมาดัง ๆ “แหม เสียดายเว้ย นี่ว่าจะจองไว้ให้ลูกข้าเสียหน่อย ใครล่ะหนูรจ เชื่ออาเหอะลูกอาดีกว่า” พูดจบก็หัวเราะเรียกเสียงหัวเราะ ครื้นเครงกันขึ้นมา “ไอ้ต้นไม่บอก คุณกานดาทราบไหมครับ” “เอ้อ ดา..” กานดาอึกอักเพราะมือของรจนาที่เขย่าแขนเธอ กานดาหันไปสบสายตาเขินอายของรจนา “เขาบอกไม่ได้หรอกเว้ย” การุณย์พูดหัวเราะ “ก็ลุกชายเขานั่นแหละ” “เฮ้ย..” คนที่ถามร้องตาเบิกโพลง “ต๊าย..เหรอจ๊ะหนูรจ” “คุณลุงนะ..” รจนาร้องหน้าแดง “พวกกันเว้ย ยังงี้ต้องฉลอง..” เพื่อนการุณย์อีกคนพูดแซงขึ้นมา “จริงเหรอคะ พี่ดา เจอกันเมื่อไรคะนี่ หนูไม่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย” ภรรยาของเพื่อนการุณย์คนที่นั่งติดกับกานดาถาม “แล้วตัวมันทำไมไม่มา” คนถาม ร้องถามต่อ “มันก็ไปทำงานของมันอยู่ซีวะ” การุณย์ตอบกลั้วหัวเราะ การสนทนาดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครจะคาดได้ว่าเบื้องนอกในลานจอดรถนั้น รถกระบะสีทึมจอดซุ่มรอที ภายในรถชาย ใบหน้ากร้านนั่งเงียบจับจ้องมองไปยังประตูโถงใหญ ของโรงแรม “เดี๋ยวกว่ามันจะกลับคงราว ๆ สองชั่วโมง นี่ยังไม่ทุ่ม ผลัดกันไปหาอะไรกินก่อน อยู่แถว ๆ นี้ล่ะ” คนนั่งข้างคนขับหันไปสั่ง พวกพ้องที่ขยับตัวเปิดประตู “มึงเอาผ้าคลุมปืนข้างหลังไว้ก่อนด้วย เดี๋ยวพ่อมึงมาเห็นเข้าจะยุ่ง” เจ้าคนที่นั่งแถวหลังหันเอี้ยวตัวไปยังพื้นที่เก็บของท้ายแค็บดึงผ้าใบมาคลุมอาวุธสงครามที่วางอยู่ ก่อนจะลงจากรถไป ........................... 20.00 น. คฤหาสน์หรูในเชียงใหม่ “เฮียทำกับฉันอย่างนี้ เห็นชั้นเป็นอะไร” กิมลั้งสาวใหญ่ที่นั่งอยู่บนเตียงนอนฝังมุกขนาดใหญ่เอ่ยถามด้วยคราบน้ำตา เธอสวมชุดนอน ยาวกรอมเท้า สายคล้องไหล่เป็นเพียงเส้นเชือกเล็ก ๆ สองเส้น ชุดนอนผ้าบางเบาจนมองทะลุลอดไป เห็นเต้าอวบที่กระเพื่อมไหว สายตาจับไปที่เสี่ยเล้งที่สวมเพียงกางเกงแพรนั่งจิบวิสกี้บนเก้าอี้ในห้องนอนเย็นฉ่ำ “ตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่หายโกรธเฮียอีกเหรอ” เสี่ยใหญ่แกว่งแก้วเหล้าในมือ “ชั้นไม่ใช่ผู้หญิงหากินนี่เฮีย” “ถ้าเธอเป็นกะหรี่ จะไม่ได้เข้ามาอยู่บ้านนี้หรอก” เสี่ยใหญ่พูดเรื่อย ๆ “นึกว่าช่วยกันทำมาหากินน่ากิมลั้ง ถ้าเป็นสาว ๆ ก็ว่าไปอย่าง” “แต่เฮียวางยาชั้นทำไมล่ะ” “ก็บอกดี ๆ เธอจะยอมเหรอ” เสี่ยใหญ่พูดอย่างอารมณ์ดี “เออน่า แล้วไปแล้วน่า” “แต่เฮียมา เอ่อ มา..” สาวใหญ่เม้มปากอย่างขัดเขินจนหน้าแดง “มาเอาก้นฉัน” “ยังไม่หายเจ็บเหรอ กิมลั้ง เฮียเห็นแล้วมันอดไม่ไหวน่ะ” เสี่ยเล้งจิบเหล้าคั่นจังหวะ “ไปหาหมอไหมล่ะ” “หายเจ็บแล้ว จะบ้าเหรอ แล้วจะบอกหมอว่ายังไง” เธอแหวใส่ “ก้อบอกไปตรง ๆ ว่าสามีเสยเอา” เสี่ยวางแก้วเหล้า ลุกเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ยกแขนขึ้นโอบไหล่เปลือยนอกแขนเสื้อนอน “น่า เลิกโกรธเฮียเถอะ พรุ่งนี้เฮียพาไปซื้อสร้อยสักสองเส้นแล้วกันนะ” กิมลั้งหรือพัชราภาสาวใหญ่พอได้ยินเรื่องสร้อยก็แทบจะหายโกรธแต่ยังทำทีเป็นปั้นปึ่ง ค้อนสามีขวับ “สามเส้นก็ได้น่า เลิกโกรธเฮียเถอะ” เสี่ยใหญ่ทำทีออดอ้อนลูบแขนเปลือยเบา ๆ “เส้นละสองแสนนะเฮีย” “สองแสนก็สองแสน” เสี่ยใหญ่ตอบพร้อมกับลูบเอาสายรั้งไหล่ของชุดนอนหลุดออกไป “ตอนนี้มาให้เฮียเรียกขวัญคืนก่อนกิมลั้ง” พูดพร้อมกับสายรั้งไหล่อีกข้างหลุดออกไปปล่อยให้เสื้อนอนหลุดไปกองที่เอว นิ้วสั่น ๆ ของเสี่ยเล้งยกขึ้นกำกุมนวดเต้าอวบของเมียจนจะงอยหัวนมตั้งชัน “ไม่เอาก้นแล้วนะเฮีย ฉันเจ็บ” สาวใหญ่บอกพร้อมกับร่างที่เอนลงหงายตามมือสามีที่ดันเบา ๆ แล้วดึงรั้งชุดนอนหลุด ไปทางปลายเท้า “ไม่เอาซี วันนั้นน่ะ ทางนี้มันไม่ว่างนี่นา” เสี่ยใหญ่เอามือลูบโคกเนื้อหนั่นแล้วไชนิ้วลงลูบเม็ดติ่งเนื้อในจนสาวใหญ่สูดปาก แอ่นสะโพกตามแรงลูบ “ก็เฮียวางยาชั้นให้ท่านเอาอยู่นี่” เธอผงกหัวขึ้นมองสามีที่ยันกายขึ้นปลดกางเกงแพรให้มันเลื่อนไหลลงกองกับพื้น ลำท่อนเอ็นอ้วนตันตั้งเด่นขึ้นมาส่ายหัวไปมา “อืมม ของท่านยาวกว่าเฮียอีก ชอบไหมล่ะ” เสี่ยเล้งคู้เข่าลงกลางขาอวบของเธอที่อ้าออกรับ ยอกมือขึ้นแหวกกลีบเนื้อ แบะอ้า นิ้วมืออวบ ๆ อีกข้างก็จรดปลายลงกับติ่งเม็ดเนื้อเขี่ยพลางสลับบี้บดวนคลึงจนเธอเสียววาบ ๆ คูหาอุ่นนุ่มขมิบ ตามจังหวะ หลั่งน้ำหล่อลื่นออกมาปริ่มปากถ้ำ “ไม่มีหวงเมียเลยนะเฮีย อู๊ยยยย เสียยววววว” เธอผงกหัวขึ้นต่อว่าแล้วก็เหยียดหน้าแหงนเมื่อสามีก้มลงดูดเม็ดเนื้อจัง ๆ ........................... 20.50 น. ในป่าทึบติดพรมแดนพม่า ในสุมทุมพุ่มไม้ที่รกเรื้อนั้น ชายในชุดรัดกุมขยับเคลื่อนตัวแฝงเงามืดของต้นไม้ใหญ่น้อยผ่านป่าเข้ามาอย่างเงียบกริบ ก้าวย่างที่เชื่องช้ามั่นคงพาร่างของทั้งกลุ่มขยับกันเข้าวางตัวหมอบลงกับโคนไม้ในบริเวณนั้น สองคนวางตัวหมอบลงกับ โคนไม้ใหญ่กระชับปืนเอ็ม 4 ที่ติดศูนย์เล็ง ACOG Reflex เครื่องลดเสียง และเครื่องช่วยเล็งด้วยลำแสงเลเซอร์ เขา มองซ้ายขวาจับตาดูพรรคพวกที่ขยับตัวลงหมอบกับพื้น ศรัณย์กระชับปืน เอ็ช เค 417 ที่ติดกล้องเล็งในเวลากลางคืน พร้อมเครื่องลดเสียง หมอบลงข้าง ๆ ทุกคนกวาดสายตาไปเบื้องหน้า ที่เป็นพื้นที่กว้างที่ถากถางจนแทบโล่ง แสงไฟ จากตะเกียงส่องสาดลอดช่องหน้าต่างของโรงเรือนที่สร้างอย่างง่าย ๆ ออกมากระทบคนที่เดินอยู่รายรอบ เสียงความ เคลื่อนไหวภายที่ได้ยินแว่ว ๆ ฝ่าความเงียบยามราตรีมากระทบหูนั้นเป็นเสียงของเครื่องยนต์ขนาดเล็กและเสียงโลหะ กระทบกันเป็นจังหวะ ทั้งสองคนมองกลุ่มโรงเรือนนั้น “เวลาเริ่ม สาม ศูนย์ นาที” ชายคนแรกย้ำ เมื่อได้รับสัญญาณมือว่าเข้าใจเรียบร้อยเขาก็ผละลุกขึ้นแล้วหมุนตัวจากไป อย่างเงียบกริบ ชายในชุดพรางเหล่านั้นคือชุดรบพิเศษของร้อยเอกวรวุฒินั่นเอง ยามนี้พวกเขาทั้งหกคนวางตัวซุ่มเงียบ ในระยะที่เอื้อมมือถึงกัน การสื่อสารสั่งการยามนี้เพียงใช้สัญญาณมือที่ฝึกปรือทำความเข้าใจกันมาอย่างขึ้นใจแล้ว รอบข้างจึงมีแต่ความเงียบสงบ ศรัณย์เคลื่อนตัวไปในความมืดลัดเลาะไปตามพุ่มไม้สลับกับหยุดนิ่งเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบเป็นครั้งคราวจนถึง จุดที่วางตัว ก็ค่อย ๆ หมอบลงกับพื้นจัดท่านอนให้มั่นคง กดปุ่มปลดล๊อกขาทรายกางออกแล้ววางปืนพาดเข้าที่ ทดลอง เล็งเป้ากวาดไปมา สายตามองช่องเล็งที่ปรากฏภาพเป็นสีเขียวเรืองของโรงเรือนในลานโล่งนั้น แสงที่ส่องลอดหน้าต่าง ออกมาเห็นเป็นสีเขียวอ่อนใสเช่นเดียวกับใบหน้าและมือของกลุ่มค้ายาที่เดินเพ่นพ่านไปมา ศรัณย์ลดปืนลงยกข้อมือขึ้น ดูพรายน้ำของนาฬิกาแล้วคลำสายปากพูดหูฟังขนาดเล็กที่หน้าอก “ฉลามสอง ประจำที่เรียบร้อย” เสียงที่กรอกลงไปไม่ดังกว่าเสียงกระซิบ “ทราบ ทุกหน่วยเข้าที่พร้อม” เสียงในหูฟังตอบออกมา “เวลาเริ่ม สาม ศูนย์ นาที” “พยัคฆ์หนึ่งทราบ สาม ศูนย์ นาที” “พยัคฆ์สอง ทราบ สาม ศูนย์ นาที” “ฉลามหนึ่ง ทราบ สาม ศูนย์ นาที” “ฉลามสองทราบ สาม ศูนย์ นาที” ศรัณย์กรอกเสียงลงไปเป็นคนสุดท้าย ผ่อนลมหายใจ ยกปืนขึ้นประทับ ........................... 21.05 น. โรงแรมทิพย์ช้าง ลำปาง “เฮ้ย ตามไป ห่าง ๆ ก่อน” ชายหน้าเหี้ยมบอกคนขับที่บังคับรถกระบะเคลื่อนออกตามรถเก๋งที่การุณย์ขับออกไปจาก โรงแรมหรู ทิ้งระยะห่างพอไม่เป็นที่สังเกต “เดี๋ยวพ้นขุนตาลไปก่อน พอถึงที่ราบ ๆ ค่อยเล่นมัน พี่ชัยสั่งให้เอาตัวอีผู้หญิงนั่นไปด้วย” รถกระบะแล่นตามไปห่าง ๆ จนออกนอกเมือง สายตาคนโฉดทั้งรถมุ่งมองไปเบื้องหน้า ถ้าพวกมันคนใดคนหนึ่งมอง ย้อนกลับไปก็จะมองเห็นรถอีกคันขับตามมาไกล ๆ “ไอ้คันนั้นมันตามผู้การหรือเปล่าน่ะพี่” หนึ่งในสองคนที่นั่งในตอนหลังเอ่ยถาม “สงสัยอยู่เหมือนกันว่ะ” คนนั่งข้างคนชับตอบ “ตามไปอย่าให้ห่างนักเกื้อ ดูไปก่อน พวกเราเตรียมพร้อมไว้ก่อน” สิ้นเสียงคนข้างหลังก็ขยับตัวพร้อม ๆ กับคนสั่งที่เอื้อมมือลงไปใต้ที่นั่งดึงเอาปืน เอ็ช เค เอ็ม พี 5 ขึ้นมาวางพาดตัก มือขวากำด้ามปืนนิ้วชี้เหยียดพาดไปตามโกร่งไก รถเลี้ยวออกจากตัวเมืองแล่นฉิวไปตามเส้นทางหลวงฝ่าความมืดไปเรื่อย ๆ ถึงจะเป็นเส้นทางหลักที่ใช้สัญจรระหว่างเมือง แต่ในเวลาใกล้ ๆ สี่ทุ่มนี้ รถที่มาใช้เส้นทางก็ลดน้อยลงจนทางค่อนข้างโล่ง ยามนี้รถส่วนใหญ่ที่ใช้เส้นทางเป็นรถบรรทุก สินค้าที่มักจะวิ่งกันมาเป็นขบวนตามกันมาครั้งละสามถึงสี่คัน การุณย์บังคับรถตนเองให้แล่นไปอย่างมั่นคงสายตาจับจ้อง ไปเบื้องหน้าขณะที่ฟังเสียงกานดากับรจนาหลานสาวคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเรื่อย ๆ “คุณลุงไปบอกคุณอาว่ารจเป็นแฟนคุณชาติชายทำไมล่ะคะ” หลานสาวหันหน้ามาเปลี่ยนเรื่องถามปุบปับ “อ้าว แล้วไม่จริงเหรอ ลุงเห็นพากันไปไหน ๆ น่ะ” “แหม ก็แค่พาเที่ยวน่ะค่ะ” รจนาต่อว่า “ยังงี้รจเสียหมดนะคะ” “แล้วจริงหรือเปล่าล่ะ” การุณย์พารถแล่นไปอย่างมั่นคง เหลือบมองกานดาที่นั่งเงียบ แต่ใบหน้ายิ้มเปี่ยมสุข “คุณอาดูคุณลุงซีคะ” รจนาชะโงกมาพูดกับกานดา “อ้าว อาไม่เกี่ยวค่ะ” กานดาตอบยิ้ม ๆ “ถ้าจริง อาถึงจะเกี่ยว” “แน๊ คุณอาก้อ” นี่ไม่มีใครเข้าข้างรจเลยเหรอคะเนี่ย” หญิงสาวทิ้งตัวลงกับเบาะ การุณย์หันมาสบตากับกานดาแล้วหัวเราะ “แล้วคุณลุงกับคุณอาล่ะคะ จะแต่งกันเมื่อไหร่” เสียงถามเปลี่ยนเรื่องปุบปับจนทั้งการุณย์ทั้งกานดาสะดุ้ง “ลุงเกี่ยวอะไรด้วย” การุณย์หันไปมองหน้าสวยคมของหลานสาวที่โผล่หน้ามามองเขาตาแป๋ว “ไม่เกี่ยวจริงเหรอคะ งั้นคุณอามาเที่ยวเหรอคะ งานเลี้ยงรุ่นก็เพิ่งจบนี่นา” คราวนี้สาวน้อยหันไปถามกานดาตรง ๆ “อาก็ มา พักผ่อนน่ะจ๊ะ อยู่กรุงเทพมันร้อน ๆ” กานดาแก้ตัว “นี่มันพฤศจิกาแล้วนะคะ อากาศเย็นเร็วด้วยปีนี้น่ะ” รจนาคาดคั้น “ก็ คุณต้นชวนน่ะค่ะ” “นั่นแน่ จับได้ละ” รจนาร้องลั่นรถ “ไม่เห็นลุงบอกรจเลย” “ลุงลืมไป” การุณย์แก้ตัว “ไม่รู้ละ ยังไง รจก็ไม่แต่งก่อนหรอก” พูดจบรจนาก็ตกใจตาเบิกโพลงยกมือขึ้นปิดปาก “งั้น รจจะให้อามาขอเมื่อไรล่ะคะ” กานดาถามทันควัน การุณย์หัวเราะลั่น พาให้หลานสาวหน้าง้ำ “ผมยกให้เลยครับ ไม่ต้องขอ” การุณย์บอกหัวเราะลั่น ๆ ครื้นเครง “คุณลุงนะ” เธอนั่งกอดอกจ้องไปตามแสงไฟของรถที่สาดส่องถนน “เดี๋ยวกลับไปรจจะจุดธูปฟ้องพ่อ” ........................... 21.15 น. คฤหาสน์หรูในเชียงใหม่ “เฮีย เสียวจังเฮีย” สาวใหญ่ร้องบอกเสี่ยเล้งสามีเสียงสั่นเครือเมื่อโดนทั้งเลียทั้งดูดเม็ดติ่งเนื้ออย่างเมามัน สะโพก ผายกระดกดันพะเยิบพะยาบส่ายวนจนก้นลอยไม่ติดพื้น เสี่ยเล้งเองก็จับข้อพับเมียสาวใหญ่ดันจนโย้ขึ้นกลางอากาศและ ผลักออกด้านข้างให้ขาอ่อนอวบ ๆ นั้นแบะออกจนแคมโคกแบะกว้างเปิดทางให้ลิ้นทำงานของมัน ยามนี้โพรงเนื้อกิมลั้ง หรือพัชราภากระตุกขมิบวาบ ๆ ไปด้วยความเสียวขับหลั่งหยาดเมือกรินไหลออกมาฉ่ำแฉะไปทั้งกลีบแล้วโดนปลายลิ้นสามี เลียกวาดละเลงไปทั่วเนินจนฉ่ำ ปากและคางของเสี่ยเล้งเปียกไปด้วยเมือกลื่น “ฮึ่ยยยยยยย” สาวใหญ่ครางไม่เป็นส่ำเมื่อโดนสามีประกบปากลงกับปากถ้ำอุ่นลื่นออกแรงดูดแล้วแหย่ลิ้นชอนเข้าไป ข้างใน “ว้ายยยยยย” คราวนี้กรีดลั่น ๆ เมื่อเสี่ยเล้งเลียลากลิ้นลงไปเกลี่ยปากรูทวารอย่างเมามัน สะโพกอวบผายกระดกวาบ ๆ สองมือกางออกขยุ้มผ้าปูที่นอนดึงทึ้งด้วยความเสียว “อย่าเลียตรงนั้น มันเสียววววววววว” เสี่ยเล้งหยุดลิ้นแล้วยันกายขึ้นขยับเข้ากลางท่อนขาอวบที่ใช้มือกางออก ลำเอ็นตัน ๆ กระดกไปมาส่ายหัวอยู่แถว ๆ ปากถ้ำ แล้วเสี่ยใหญ่ก็เอามือประคองท่อนเอ็นเนื้อจรดปลายมันมู่ทู่ลงกับติ่งเนื้อกลางโคกแคมแล้วกวัดแกว่งให้หัวบาน เขี่ยแคะบดขยี้จนติ่งเนื้อบี้แบน สัลกับกดแกว่งลงแถว ๆ ปากรูคูหาสวรรค์ สองมือสาวใหญ่เอื้อมลงมาประคองสะโพกสามี ข้างหนึ่ง อีกข้างล้วงลงมาเกาะกุมท่อนเอ็นแข็งเขม็งจับจรดเข้ากับปากรู “เอาเหอะเฮีย เอาเหอะ แรง ๆ เลย” ปากอิ่มหลุดเสียงวอนขอด้วยความหงี่งุ่นง่าน “ได้เลย เตรียมรับนะกิมลั้ง” เสี่ยว่าแล้วขยับสะโพกเล็งท่อนเอ็นตรงช่องทางแล้วก็กดก้นกระเด้าพรวดเดียว ท่อนเอ็น อ้วนตันก็มุดสวบบุกทะลวงถ้ำเนื้อเปิดอ้าปล่อยให้ท่อนเอ็นบุกเข้ามาจนมิดกั่นจมโคน “โอ๊ะ..” ถึงจะเป็นวัวเคยขา เป็นม้าเคยขี่ ถึงจะหงี่จะเงี่ยนเท่าใด ยามที่ท่อนเอ็นตัน ๆ อ้วน ๆ บุกพรวดพราดเข้ามานั้น มัน ก็แหวกกลีบบุกเข้ามาจนเต็มคับ แล้วมันก็ไม่ได้หยุดนิ่งแต่กลับควงควานไปจนทั่วรูเนื้อ ถัดจากนั้นมันก็บุกพรวด ๆ สลับ ถอยพาเอาลำตัวขรุขระครูดแคะกลีบและผนังถ้ำเนื้อเธอจนเสียววาบ ๆ กระด้งสะโพกรับเข้าจังหวะกระดกเอวของสามี เสี่ยยาบ้ากัดฟันกระทุ้งท่อนเอ็นตันของตนเข้าโพรงถ้ำเมียสาวจนเนื้อตัวอวบอั๋นสั่นสะเทือน เสี่ยใหญ่ยังไม่หนำใจดึง เอ็นออกมาจากที่ทางจับตัวเมียสาวใหญ่พลิกคว่ำแล้วดึงสะโพกยกก้นขึ้นจนเธอมาอยู่ท่าคู้เข่า จรดกระบอกเอ็นตันเข้าที่ แล้วเสียบมันเข้าไปจนมิดโคน “ว๊าย ซี๊ดดด เฮีย เสียววว เร็ว ๆ อื๋ยยย” ........................... 21.20 น. ถนนสายลำปาง-เชียงใหม่ รจนานั่งหน้าง้ำมาครู่ใหญ่ด้วยความเคืองลุงของตนและกานดาจนไม่พูดไม่จา ส่ายสายตามองข้างทางที่มืดสนิท เห็น แสงไฟจากบ้านที่ตั้งอยู่ห่าง ๆ กันไกลออกไปลิบ ๆ แล้วค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป ท้องถนนเบื้องหน้ามีแต่ความมืด รจนามอง การุณย์และกานดาที่นั่งคุยกันอยู่ตอนหน้า เธอสังเกตได้ว่าไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ลุงของเธอดูหน้าตาผ่องใสสดชื่น ด้วยความสุขมากขึ้น จากที่เคยคร่ำเคร่งกับงานจนเรียกได้ว่าหน้าดำคร่ำเครียดก็ผ่อนคลายลงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจบการสนทนากับอากานดา ทั้งเมื่อคราวงานเลี้ยงรุ่นคราวก่อน ตอนที่เธอไปพบกับลุงและอากานดาที่วัดพระสิงห์ หรือเช้าวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมาเจอลุงของเธอตื่นมาด้วยสีหน้าที่แม้จะแฝงรอยง่วงเหงาแต่ก็ยังสดใสอย่างยิ่ง เธอครุ่นคิด พลางมองเค้าหน้าของกานดาที่พาให้เธอกระหวัดนึกถึงชายผู้ที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิต คืนหนึ่งนั้นที่เธอและเขาผนึก ประสานเข้าด้วยกัน คืนที่เธอเองเหมือนต้องมนต์สะกดให้สับสนมึนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่คืนนั้นกลับเปิดเผยตัวตน ของเธอและเขาแก่กันอย่างลึกซึ้ง ครั้งแรกที่ออกจะรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด แต่ยามที่ราตรีกาลเคลื่อนต่อไปนั้นกลับเต็ม ไปด้วยความดื่มด่ำเต็มตื้นละเมียดละไมอย่างยิ่งจนเธอต้องยอมรับว่า ในความหยิ่งทะนงของนายทหารเรือผู้นั้นกลับ เจือด้วยความสุภาพอย่างนึกไม่ถึง จนบัดนี้ยามที่เธอหวนกลับไปนึกถึงคืนเดียวนั้นร่างกายก็พะวงถึงชายหนุ่มผู้นั้นด้วย ความห่วงหา ซ้ำเมื่อบ่ายวันวานนี้เองที่จู่ ๆ ชาติชายก็โผล่มาหน้าประตูบ้านยืนยิ้มเผล่หน้าแป้น “มีธุระอะไรหรือคะ” เธอวางท่าใส่ “ผมจะมาบอกว่า ผมจะไปทำงานสักสามวันครับ” เขายังคงยืนคาประตูบ้าน “แล้วมาบอกดิฉันทำไมคะ” เธอยังทำปั้นปึ่งใส่ “ดิฉันไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาผู้กองเสียหน่อย” “ก็ ผม.. อยากมาบอกไว้ให้ทราบ” “ค่ะ ทราบแล้ว แล้วไงคะ” สายตาที่จ้องเธออย่างแน่วแน่จริงจังทำเอาหน้าเธอร้อนผะผ่าว “อันที่จริง เราก็รู้จักกันมานานแล้วคือตั้งแต่รุ่น ๆ ที่ผมเห็นคุณเป็นบางครั้งที่งานเลี้ยงรุ่นอาการุณย์” ชาติชายพูดไปเรื่อย ๆ สายตาคมจับจ้องดวงตาที่สุกใสเบื้องหน้า “เพียงแต่ผมไม่ได้ไปงานนานหลายปีแล้ว” “ก็ใช่ค่ะ ดิฉันจำคุณได้” “ครับ ผมก็จำเด็กผมเปียคนนั้นได้..เสมอ” ชาติชายหยุดมองพวงแก้มนวลที่แดงเรื่อขึ้นมาเมื่อเขาเท้าความถึงตอนที่เธอ เพิ่งเป็นสาวรุ่นถักเปียเส้นโตเดินจูงมือการุณย์ไปไหนต่อไหน “ผมว่าผมโชคดีที่รับงานที่นี่ เพราะงานนี้ที่พาผมกลับมาพบ เด็กผมเปียคนนั้น อีกครั้ง” “......” “ผมอยากขออะไรสักอย่าง..” ชาติชายมองคิ้วเรียวที่เลิกขึ้นเป็นเชิงถาม “หลายปีมานี่ผมออกไปทำงาน และทำงาน ไม่รู้ จะรีบกลับบ้านทำไมนอกจากที่บ้านมีแม่ผมอยู่คนหนึ่ง..” คิ้วเรียวนั้นเลิกสูงขึ้นอีก แต่พวงแก้มนวล ๆ เริ่มจะเรื่อ ๆ ขึ้นด้วยเลือดฝาด “คุณรจนาพอจะกรุณามาเป็นคนที่ผมจะกลับบ้านมาหาเมื่อเสร็จงานแล้ว ได้ไหมครับ” เสียงนั้นหนักแน่นจริงจังพอ ๆ กับ สีหน้าที่ราบเรียบปราศจากแววล้อเลียน “จะให้ดิฉันไปเป็นแม่บ้านเหรอคะ” เธอเอ่ยถาม ใจเต้นโครม ๆ อยู่ในอก “มิได้ครับ ผมอยากให้คุณรจเป็นภรรยาผม ได้ไหมครับ” “บ้า....” รจนาเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้นอย่างอิ่มเอมใจ แสงไฟสว่างวาบจากรถคันที่ตามาจากด้านหลัง ซึ่งเร่งแซงขึ้นมา เสียงดังทึบ ๆ รัวเร็วมาจากด้านที่รถคันนั้นแซงขึ้นมาแล่นคู่เคียง หัวใจผวาวาบเมื่อเห็นกระจกหน้าต่าง ปลิวกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยพร้อมกับรถเก๋งที่เซวาบ ......... ........................... 21.20 น. แหล่งผลิตยาบ้ากลางป่าชายแดน ชาติชายกดปากลำกล้องปืนลงข้างล่าง สายตาจรดเข้าที่กล้องเล็งประกอบอุปกรณ์ช่วยมองกลางคืน ในกล้องเป็นภาพเรือง สีเขียวเข้มอ่อนตามระดับแสงที่กล้องขยายเป็นภาพ ที่ชายป่านั่น กลุ่มนักรบพิเศษของวรวุฒิขยับยันตัวลุกขึ้น ชาติชาย วาดปืนเข้าหาที่หมาย “ผลุ.... ผลุ....” ยามสองคนที่ยืนคุยกันขวางอยู่ข้างหน้าชุดรบของวรวุฒิทรุดฮวบลงกองแน่นิ่งเมื่อโดนกระสุนขนาด 7.62 มิลลิเมตรพุ่งผ่าน ร่างไป ลำกล้องปืนขยับไปยังเป้าหมายถัดไปตามที่กำหนดไว้ในใจ “ผลุ...” แสงไฟในเพิงพักดับวูบพร้อมกับตะเกียงที่กระเด็น หยาดน้ำมันที่สาดกระจายจากฤทธิ์กระสุนโดนเปลวไฟที่ยังติดเรื่อ ๆ จากไส้ตะเกียงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในกล้องเล็งนั้น ชุดรบของวรวุฒิพุ่งออกจากแนวไม้กระจายออกเป็นกลุ่มย่อย ปืน คู่มือประทับเล็งไปยังเส้นทางที่พุ่งผ่าน นิ้วมือรัวไกส่งกระสุนสังหารไปยังเป้าหมายคือร่างเหล่าร้ายที่ขยับกันวูบวาบแล้ว ล้มกลิ้งไปด้วยคมกระสุน ชาติชายวาดลำกล้องไปทางด้านข้าง ทางนั้นชุดรบอีกชุดหนึ่งก็ขยับตัวพุ่งเข้าสู่พื้นที่ที่กำหนดไว้ ร่างเหล่าร้ายร่วงผล็อย ๆ ไปด้วยคมกระสุนจะเป็นจากปืนในมือของชุดรบหรือจากปืนของศรัณย์ก็เหลือจะเดา ลำกล้องปืนวาดกลับมาที่กลุ่ม ของวรวุฒิที่คืบเข้าไปในพื้นที่ เสียงปืนของเหล่าร้ายเริ่มดังขึ้นประปรายด้วยเริ่มจะสำเนียกว่ายมทูตได้เข้ามาเยือนถึงถิ่น เสียแล้ว ชาติชายขยับปืนวาดไล่ไปตามที่ว่างและโรงเรือน เพิงพักต่าง ๆ ค้นหาเป้ามายที่อาจจะโผล่ขึ้น “ผลุ..ผลุ..” เดนคนคนหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากเพิงพัก ปืนในมือส่องเล็งตรงมาที่ชุดรบของวรวุฒิ แต่ไม่ทันจะได้ปล่อยกระสุนจากปืน ในมือ กระสุนสองนัดของชาติชายก็พุ่งเข้าเต็มอกของมันตามด้วยกระสุนอีกสองนัดของวรวุฒิ ส่งร่างมันหงายหลังผลึ่งไป กองกับพื้นพร้อมกับวิญญาณชั่วที่หลุดลอยไปกับความมืดของป่าดิบ เสียงเครื่องยนต์คำรามขึ้นมากระทบโสตประสาท ชาติชายวาดลำกล้องไปที่รถกระบะที่จอดห่างออกไป คนขับกำลัง ดึงประตูปิดในตอนที่หัวกระสุนอีกสองนัดยัดเข้าเต็มสีข้าง ตัวมันเกร็งจนเท้าเหยียบคันเร่งค้างส่งระกระบะพุ่งเข้าใส่ โคนไม้พุ่มข้างหน้าหักพับก่อนที่รถจะพุ่งเลยไปแล้วหยุดนิ่ง แสงไฟหน้าสาดส่องเข้าไปในราวป่า เบื้องหน้าชุดรบพิเศษแยกย้ายออกเป็นคู่ ๆ เดินประทับปืนแยกย้ายกันออกไปอย่างเป็นระบบเพื่อกวาดล้างพื้นที่ ปากกระบอกปืนพ่นเปลวเป็นสีเขียวจาง ๆ ยามที่พ่นกระสุนออกไปเป็นจังหวะ ชาติชายกวาดปืนไปรอบ ๆ ค้นหาเป้าหมาย นักรบพิเศษทั้งกลุ่มหยุดลงเพื่อปลดปลอกลดเสียงออกแล้วเสียบเข้ากับเสื้อกระสุนที่สวมทับอยู่ “ผลุ.. ผลุ..” ปืนในมือชาติชายส่งกระสุนอีกคู่หนึ่งพุ่งเข้าเต็มอกของวายร้ายที่โผล่ออกมาเบื้องหน้าชุดรบพิเศษที่กำลังปลดปลอก ลดเสียง มันตัวงอเมื่อโดนกระสุนทั้งสองนัดยัดเข้าเต็มอกเต็มท้อง ชาติชายกวาดปืนตรวจไปตามเพิงพักเห็นเงาร่าง สีอ่อนจางซุกอยู่ที่มุมหนึ่งขยับไหวก็ลั่นกระสุนสังหารไปอีกหนึ่งคู่ เจ้าของเงาพลิกหงายสั่นกระตุกก่อนจะแน่นิ่ง เสียงปืนเริ่มระงมขึ้นมาเมื่อชุดรบพิเศษที่ปลดปลอกลดเสียงออกแล้วเริ่มรุกคืบหน้าต่อไป ในราวป่าไกลออกไปนั้น สายร้ายหลายคนพุ่งหลบหนีเข้าไปในราวป่า สองสามคนที่พลิกตัวหมอบซุ่มคอยทีจะถล่มชุดรบพิเศษที่ติดตามไปก็ ไม่มีโอกาสจะได้ทำตามที่ตั้งใจเมื่อกระสุนของชาติชายหรืออาจจะเป็นศรัณย์ปลิดชีพมันไปเสียก่อน บางส่วนวิ่งหลบหนี หายลับเข้าไปในดงไม้ทึบจนมองไม่เห็นจากในกล้อง “ฉลามจากพยัคฆ์ กวาดพื้นที่เรียบร้อย คุ้มกันด้วย” เสียงวิทยุในหูดังขึ้นมาเป็นสัญญาณว่าชุดรบพิเศษของวรวุฒิกวาดพื้นที่ ต่าง ๆ ของเพิงผลิตยาบ้าเรียบร้อยแล้ว “ฉลามหนึ่ง ทราบ มีเป้า สิบสองนาฬิกาของพยัคฆ์หนึ่ง สองเป้า” ชาติชายกรอกเสียงตอบ “ฉลามสองทราบ หนึ่งเป้า หนึ่งนาฬิกา กับ สองเป้า สิบนาฬิกา ของพยัคฆ์สอง” เสียงศรัณย์ดังขึ้นต่อจากชาติชาย ทั้งสองคนบอกที่ที่เห็นร่างวายร้ายที่นอนนิ่งอยู่ให้ชุดรบพิเศษทราบ “พยัคฆ์ทราบ พยัคฆ์หนึ่ง สอง พิสูจน์ทราบเป้า” สิ้นคำสั่งของวรวุฒิ นักรบสามคู่เริ่มเคลื่อนตัวไปยังทิศทางที่ได้ยินอย่างระมัดระวัง สามสิบนาทีถัดมา เมื่อชุดปฏิบัติการพิเศษทั้งหมดเคลื่อนตัวออกจากบริเวณนั้น เพิงพักอันเป็นที่ตั้งของเครื่องอัดเม็ดยาบ้า สุมไปด้วยเครื่องอัดเม็ดยา ถังสารประกอบตัวยา อาวุธของวายร้ายที่แยกชิ้นส่วน ก็มีเปลวไฟลามเลียขึ้นด้วยน้ำมันจาก รถกระบะที่ดูดขึ้นมาราดจนชุ่ม แล้วโหมทวีเปลวแห่งความร้อนแรงขึ้นจนสูงเทียมยอดไม้ ........................... 21.20 น. คฤหาสน์หรูในเชียงใหม่ เสี่ยเล้งยามนี้เสียวกระสันเต็มเหนี่ยวจนสุดจะยั้งรั้งอารมณ์หื่น สองมือจับรั้งดึงสะโพกอวบผายของเมียสาวใหญ่เข้าหาตัว พร้อมกับกระหน่ำเอวกระเด้าท่อนเอ็นเข้าใส่เต็มเหนี่ยว ลมเย็น ๆ ของเครื่องปรับอากาศยังไม่พอจะบรรเทาความร้อนรุ่ม จากการบรรเลงเพลงกามได้ หยาดเหงื่อใส ๆ ผุดขึ้นตามผิวหนังขาว ๆ ของเสี่ยเล้งและกิมลั้งหรือพัชราภา ท่อนเอ็นอ้วนตัน บุกทะลวงถ้ำเนื้อย้ำถี่ กลีบแคมเนื้อถ้ำปลิ้นเข้าออกตามท่อนเอ็นเนื้อ หน้าขาเสี่ยใหญ่ดันกระแทกก้นอวบของเมียจนเนื้อก้น สะเทือนกระเพื่อม หยาดน้ำเมือกใส ๆ ไหลล้นปากถ้ำชโลมท่อนเอ็นจนลื่นไหลโดยสะดวกและหยาดรินหยดย้อยลงไปตาม กลีบเนินฉ่ำแฉะไปทั้งบริเวณยุทธกาม กิมลั้งสาวใหญ่ก็โย้ก้นเข้าใส่ท่อนเอ็นผัวอย่างเมามันก้มหน้าสูดปากซี้ดซ้าดยามที่ความเสียวซ่านพุ่งพล่านไปทั้งท้องน้อย ลามไล่ไปจนถึงปลายเท้าจรดหนังหัว บัดเดี๋ยวนั้นเองที่เธอรู้สึกว่าเสี่ยเล้งเอานิ้วแยงกดปากรูทวารขยี้เบา ๆ จนเธอต้อง ขมิบก้นเกร็งด้วยความเสียว “เฮีย อย่าแหย่ก้นฉัน มันเสียยวววว” เสียงครางระส่ำ “เสียวดีหรือเปล่าล่ะกิมลั้ง” เสี่ยใหญ่กระเด้าไปพลาง กดขยี้รูทวารไปพลาง แล้วค้อมตัวเอื้อมมืออีกข้างไปเกาะกุมบดเคล้น เต้าอวบของเมียที่แกว่งไกวไปตามจังหวะร่างอวบที่โยกโย้ไปมา “เสียว แต่อย่าแย่ซีเฮีย.. อุ๊ย” เธอร้อยพร้อมกับสะดุ้งเมื่อสามีดึงเอ็นตันผลุบออกจนถ้ำว่างเปล่าขมิบวาบ ๆ “อะ.ไร. ว้าย” ถามไม่ขาดคำก็กรีดร่ำด้วยความเจ็บระคนเสียวซ่านเมื่อเสี่ยเล้งจับแก่นเนื้อจรดปากช่องทวารที่ยังเจ็บระคายเคืองอยู่นั้น มิทันจะยักสะโพกย้ายหลบลำเนื้อแข็งตันก็มุดผลุบเข้ามาอย่างง่ายดาย จนแน่นไปทั้งเบื้องล่าง “โอ๊ย ..เจ็บ .. เสียว ว้าย ๆ ๆ” เธอร้องระงมพยายามส่ายก้นหลบท่อนเอ็นที่อัดแน่นเต็มรูทวารจนทั้งเจ็บทั้งเสียวทั้งแน่นอึดอัดแสยงสยองไปทั้งตัว แต่สองมือผัวที่จับรั้งไว้ทำให้เธอขยับหนีไม่ออก เสี่ยใหญ่ก็ตะบันกระเด้าเอวส่งท่อนเนื้อเอ็นมุดสวบสวบไม่หยุด เสี่ยใหญ่ เสียวสุดตัวเมื่อปากรูทวารขมิบเม้มรักท่อนเอ็นจนแน่น กระดกเอวกระเด้าเต็มเหนี่ยวถี่ยิบแล้วปลดปล่อยน้ำกามพุ่งเข้า ร่างเมียเต็มที่ “กิมลั้ง.....อาซซซซซซซซ.....” “เฮีย อี๊ยยยยยยยยยย..” กิมลั้งเองก็ครางลั่น ๆ เมื่อน้ำรักของสามีฉีดเข้ามาจนอุ่นวาบเร่งเร้าอารมณ์จนพุ่งพรวด ร่างกายส่วนล่างขยับเขม็งขมิบเม้มทั้งสองทวาร ร่างเกร็งจนสั่นยามที่ความเสียวพุ่งขึ้นจนถึงที่สุด ........................... 21.22 น. ถนนสายลำปาง-เชียงใหม่ รถเก๋งคันกะทัดรัดเซวูบลงไปตามไหล่ทางก่อนจะแล่นเลยลงไปตามขอบไหล่ทางจนฝุ่นตลบขึ้นมาตามแสงไฟ ระกระบะ ที่ขับแซงขึ้นมาแล่นตามแล้วห้ามล้อเต็มแรงจนเสียงยางบดพื้นถนนดังสนั่นก่อนหยุดลงบนถนน ประตูกระแทกเปิดออก พร้อมกับร่างคนนั่งที่ผลุบออกมาพร้อมกับปืน เอเค 47 ในมือ มันกำลังยกปืนเล็งเข้าใส่เก๋งตอนที่แสงไฟสาดจ้ามาจาก ด้านท้ายรถของมันจนมันสะดุ้ง สายตาที่หันไปมองนั้นเห็นแต่เพียงแสงไฟสี่จากรถคันที่แล่นตามมาสาดสว่างจ้าจนตาพร่า “เฮ้ยยิงมันซีวะ เดี๋ยวไอ้คันนั้นกูจัดการเอง” เสียงคนที่นั่งมาในแค็บดังสำทับมาเบื้องหลัง ทันหันกลับไปมองพรรคพวก โฉดชั่วที่แทรกตัวออกมาทางประตูที่เปิดอ้าค้างพร้อมกับปืน เอ็ม 16 “เปรี๊ยะ ๆ ๆ ๆ” เสียงโลหะกระทบกันที่ดังกราวขึ้นมาสร้างความฉงนใจให้มันจนหยุดชะงักมือที่กำลังยกปืนสงครามเตรียมยิงถล่มเก๋งที่ หยุดอยู่ข้างทาง มันหันกลับไปมองเพื่อนที่ข้างรถที่กำลังยกปืนในมือขึ้นเล็งไปยังรถคันที่สาดไปส่องจ้าจนแสบตา เจ้าวายร้ายที่ยกปืนขึ้นเล็งไปที่รถคันที่ตามมาลั่นไกส่งกระสุนสะเปะสะปะเพราะสายตามันพร่ามัวด้วยแสงไฟแรงสูงที่ สาดเข้ามา กระสุนของมันสาดส่งไปโดยไม่มีทิศทาง ต่างจากหัวกระสุนที่สาดมาจากรถคันที่ตามมานั้น เสียงโลหะกระทบ กันนั้นมาจากหัวกระสุนขนาด .380 พารา ของปืน เอ็ชเค เอ็มพี 5 ที่คนยิงโผล่ขอกมาจากช่องหน้าต่างด้านคนนั่ง หมู่กระสุนกระทบฝาท้ายกระบะของรถวายร้ายจนเป็นรูส่งเสียงดังจนไอ้เจ้าวายร้ายสับสนและประหลาดใจ “เปรี๊ยะ ๆ ๆ ๆ” ความประหลาดใจของพวกมันนี่เองที่คนที่โผล่ออกมาจารถกระบะคันหลังต้องการ เพียงดึงความสนใจมันออกจากเป้ามาย ของมัน ชั่วอึดใจก็เพียงพอสำหรับมือพิฆาตจากหน่วยสงครามพิเศษแล้ว ถึงแม้นว่ารถที่ตนนั่งมาบนขอบหน้าต่างนั้น จะกระเทือนด้วยความเร็วแต่มือที่ฝึกฝนมาอย่างชำนาญก็ยังพอจะส่งกระสุนชุดหนึ่งเข้าใส่เจ้าคนที่กำลังประทับปืน เอเค 47 เล็งไปที่รถเก๋งของผุ้การการุณย์ของมันได้ ไอ้เจ้าคนนั้นเซถลาเมื่อกระสุนจำนวนหนึ่งสาดเข้ากระทบตัวเลือดชั่ว สาดกระจายลงกับพื้นถนน ขณะที่อีกคนหนึ่งพยายามหรี่ตาสู้แสงไฟที่ส่องเข้ามาเต็มหน้าเพื่อจะยิงรถที่พุ่งเข้าใส่โดย ไม่รู้เลยว่าเพื่อนมันสวาปามกระสุนเข้าไปจนล้มคว่ำนั้น มันสาดกระสุนออกไปหลายนัดอย่างสิ้นหวังที่จะโดนเป้าเพราะ มันเองก็ไม่เห็นอะไรมากกว่าแสงไฟจ้าจนตาพร่าพราย “เปรี๊ยะ ๆ ๆ ๆ” แวบหนึ่ง มันเห็นเศษพลาสติกสีแดงกระเด็นตัดแสงสว่างจ้าผ่านหน้ามันไป ลมร้อนกระโชกผ่านแก้มมันจนร้อนผ่าวแล้ว ตาข้างหนึ่งมันก็ดับวูบก่อนที่มันจะได้ทันรู้สึกถึงความเจ็บปวด เพียงกระสุนนัดเดียวที่สาดผ่านเข้ามาจับเข้าเต็มดวงตามัน จนกลวงโบ๋ กระสุนร้อนฉ่าพุ่งผ่านเข้าไปในเบ้าตาทะลวงประสาทตามันกระจุบก่อนที่จะทะลวงเลยเข้าไปบดขยี้ฉีกมันสมอง มันจนเละเทะแล้วพุ่งทะลุเจาะผ่านหัวกะโหลกไปฝังอยู่กับบานประตูรถ รถกระบะของวายร้ายกระชากตัวพุ่งออกไป อย่างแรงจนยางบดพื้นถนนลั่นเอี๊ยดส่งกลิ่นไหม้คละคลุ้ง รถสีทึมพุ่งเข้ามาติด ๆ พร้อมกับห้ามล้อเสียงลั่น คนในรถพุ่ง ลงวิ่งไปยังรถเก๋ง พร้อมกับกรอกเสียงลงในวิทยุสื่อสารที่เสียบหูฟังเข้าข้างหนึ่ง .........................

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น