AEl5Nk.gif AEl5Nk.gif


เหตุเกิดที่โรงแรมblPdyV.gif
โดย Tom Mm

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
29/07/66

เต้ยกับพี่ติ่ง blPdyV.gif
โดย ตฤษณา

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

ผิดที่เมย์เองเลยโดนจับขึงพืดblPdyV.gif
โดย Uratarou

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

ฝึกงานที่บริษัทขายหมู่บ้านจัดสรรblPdyV.gif
โดย 子翔吳

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

พ่อเลี้ยงของหนู EP1blPdyV.gif
โดย Ken Ken

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2563

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 17

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 17
โดย saradio

หลังจากที่ตั๋งไป่ไปแล้ว ไม่นานก็มีทหารม้าวิ่งมาที่บริเวณงานที่ผมคุมอยู่ จากนั้นก็ ตะโกนเสียงดังว่า "ผู้ใด ชื่อกาเซี่ยง ท่านเสนาให้เข้าไปพบ" ผมได้ยินก็ขานรับคำ ทหารม้าคนนั้นก็วิ่งจากไป ผมถอนหายใจพอจะเดาออกว่าเรื่องอะไร คิดว่าตั๋งไป่คงนำความไปแจ้งต่อตั๋งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว คาดว่าน่าจะมีเภทภัยมากกว่าเรื่องดี ครั้นจะคิดหนีก็ทำไม่ได้ในตอนนี้ ก็เลยต้องไปตามคำสั่ง ตั๋งโต๊ะนั้น นับตั้งแต่ย้ายเมืองหลวงมาเตียนอัน ยิ่งทวีความหลงอำนาจมากขึ้นทุกวัน มันใช้ให้ก่อสร้างวังใหม่ใหญ่โตอย่างกับวังฮ่องเต้ให้ตัวมันพักอาศัย ทั้งยังไปเกณฑ์คัดนางสนมนางกำนัลของฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาเป็นนางสนมนางกำนัลของตัวเอง การกระทำที่อุกอาจเยี่ยงนี้ ทำให้ข้าราชบริพารในวังถึงกับหลั่งน้ำตา แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรตั๋งโต๊ะได้ แม้แต่ทัพพันธมิตร 18 หัวเมืองคิดจะมาปราบมันก็ยังต้องล่มสลายแพ้พ่ายไปเอง เฉกเช่นฟ้าลิขิตให้มันคือผู้ครอบครองแผ่นดิน ผมเมื่อไปถึงวังใหม่ ก็เข้าพบกับตั๋งโต๊ะ ที่ตอนนี้กำลังนั่งเล่นในสวนพร้อมกับเหล่านางสนมนางกำนัล เห็นมันหยอกเอิ้นสาวๆ ด้วยท่าทีลามก ทั้งจับทั้งลูบคลำจับต้องของสงวน โดยมิได้รู้สึกละอายสายตาผู้ใด เหล่านางสนมกำนัลเหล่านั้นโดนจับลูบคลำก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืน ทั้งยังพากันหัวเราะคิดคัก พูดจาเย้ายั่วตั๋งโต๊ะในเรื่องลามกบัดสีบัดเถลิง อย่างไม่กระดากอายอะไร กำนัล แม้กระทั้งผมมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแล้ว ตั๋งโต๊ะและนางสนมกำนัลเหล่านั้นก็ยังหยอกเย้ากันไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เหมือนกับว่าไม่มีผมอยู่ตรงนั้น ผมจึงต้องหมอบคุกเข่าอยู่นาน กว่ามันจะนึกได้แล้วพูดว่า "อ้อ กาเซี่ยง เจ้ามาแล้วรึ ฮ่าฮ่าฮ่า เอาละๆ ลุกขึ้นได้" ผมจึงกล่าวขอบคุณและลุกขึ้น ในใจผมคิดว่า ตั๋งโต๊ะเห็นผมตั้งแต่เข้ามาแล้ว แต่มันแกล้งทำเป็นไม่สนใจคล้ายจะยั่วผม แล้วมันก็พูดขึ้นมา "ข้าไม่เจอเจ้านานเลย เป็นอย่างไร ตอนนี้สบายดีหรือไม่" "ด้วยบารมีของท่านเสนา ข้าน้อย สุขสบายดี" ตั๋งโต๊ะยิ้มแล้วกางแขนโอบกอดนางสนมที่ล้อมหน้าล้อมหลัง พร้อมพูดว่า "เจ้าลองมองดูที่นี่ และข้าตอนนี้ เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร" คำถามนี้มีนัยยะ แฝงอยู่ ผมคิดแล้วก็ต้องตอบอย่างระมัดระวัง จึงพูดว่า "ที่นี่ยิ่งใหญ่โอ่อ่าดังราชวัง ท่านเสนาก็ยังเปลี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี" ตั๋งโต๊ะหัวเราะชอบใจ แล้วพูดว่า "ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่แล้ว....เจ้าเห็นหรือไม่ ข้าไม่ต้องทำตามแผนการของเจ้า ข้าก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้" มันพูดออกมาแบบนี้ ผมถึงได้เข้าใจ ที่ตั๋งโต๊ะอวดโอ้แบบนี้นี้ต้องการจะสื่ออะไร เพราะเนื่องจากมันไม่ฟังคำผม เรื่องการปลดฮ่องเต้หองจูเปียน เลยเป็นเหตุบานปลายให้เกิดการต่อต้านจากบรรดาหัวเมืองต่างๆ รวมตัวกันมาปราบมัน จนต้องย้ายเมืองหลวงหนีมาที่นี่ มันจึงรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าผมพูดถูก ซึ่งจะกลับตัวไปทำตามคำแนะนำของผม มันก็ไม่ทันแล้ว จึงมีแต่ต้องดึงดันให้ถึงที่สุด และมันก็ยังรอดมาได้และเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ได้ในขณะนี้ ทำให้มันคิดว่ามันก็คิดถูกเหมือนกัน จึงอวดโอ้สิ่งที่มันยังเป็นอยู่ในตอนนี้ให้ผมดู ผมต้องทอดถอนใจ คิดว่า ตั๋งโต๊ะยามนี้นั่นตกอยู่ในความมั่วเมาและหลุมหลงในอำนาจเข้าขั้นอาการหนัก เพราะหลังจากผ่านวิกฤต สงครามกับ 18หัวเมืองมาได้ ยิ่งทำให้มันหลุมหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดในแผ่นดิน ส่งผลให้ความทะนงตนสูง กระทั้งลิยูกับลิซก ก็ยังทัดทานมันไม่ได้ เสนออะไรหากไม่ถูกใจ มันก็ไม่ใคร่จะฟัง คิดแต่จะเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ผมจึงรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ตอนนี้พูดตักเตือนอันใดล้วนแต่เป็นภัยกับตัวเอง จึงก้มหัวแล้วยกมือประสานคาราวะ พูดว่า "ท่านเสนาปรีชาสามารถ ข้าน้อยเป็นเพียงหนอนหนังสืออวดรู้ ความคิดโง่เขลาของข้าน้อยย่อมไม่อาจเทียบได้กับท่านเสนา ขอให้ท่านเสนาอย่าได้ถือสา" ตั๋งโต๊ะเห็นผมยอบรับแบบนั้นก็หัวเราะชอบใจ เรียกให้ผมนั่งลงที่โต๊ะด้วย จากนั้นก็ให้นางสนมรินเหล้าให้ผม พร้อมกล่าวว่า "จะมีสักกี่คน ที่จะได้ลิ้มรสสุรา จากมือของนางสนมของพระเจ้าเลนเต้ ในโลกนี้นับได้ว่า มีข้ากับฮ่องเต้องค์ก่อนเท่านั้น เหอๆ.. เจ้าเองก็ดื่มสิ" ผมที่แรกคิดจะดื่มตามคำบอก แต่แลเห็นสายตาตั๋งโต๊ะมีเลศนัยแฝงอยู่ ก็พลันฉุกคิดได้ จึงไม่แตะต้อง และพูดว่า "ข้าน้อย มิบังอาจ ตีเสมอท่านเสนา สุราจอกนี้นั้น ข้าน้อยนั้นมิคู่ควร" ตั๋งโต๊ะก็ยิ้ม ค่อยๆ เผยหัวเราะ ดัง เหอะ เหอะ เหอะ จากนั้นก็พูดอย่างพอใจ ว่า "เจ้ารู้จัก ระมัดระวังตัวและประมาณตนเอง แบบนี้จึงดี..หากเจ้าดื่มลงไป แสดงว่าเป็นคนทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด โลภในของหายาก เห็นของดีก็อยากได้โดยไม่ประมาณตนว่าคู่ควรหรือไม่....เอาเถอะถือว่าข้าล้อเล่น.... ที่เรียกมาวันนี้ ก็เพราะมีธุระต้องการพูดกับเจ้า" ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่รอดตายอย่างฉิวเฉียด ดีนะที่ฉุกใจคิดก่อน หากดื่มลงไปคงได้ตายเป็นแน่แท้ ตอนนั้นจึงถามว่า "ไม่ทราบ ท่านเสนามีเรื่องอันใด" ตั๋งโต๊ะ จึงบอกว่า "วันนี้ ตั๋งไป่ มาหาข้า บอกข้าว่า นางอยากได้ที่ปรึกษาสักคนหนึ่ง และชี้เฉพาะเจาะจงมาที่เจ้า ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อใด" สีหน้าตั๋งโต๊ะมองผมอย่างคลางแคลง ผมจึงตอบว่า "ครั้งหนึ่ง ข้าน้อย เคยสอนหนังสือให้กับ บุตรตรีท่านงิวฮู นางเคยมาเข้าเรียนศึกษาด้วยครั้งหนึ่ง" "อ้อ เจ้าเคยสอนหนังสือให้กับ งิวอี้หลางรึ เรื่องนี้งิวฮูกลับไม่เคยบอก เช่นนั้นก็ดี ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปเป็นที่ปรึกษาให้ตั๋งไป่ ตามที่นางต้องการก็แล้วกัน" เรื่องนี้ เป็นเรื่องหนักใจสำหรับผม การที่จะให้ไปเป็นที่ปรึกษากับเด็กผู้หญิงที่น่ากลัวและร้ายกาจอย่างนั้น เป็นอะไรที่น่ากลัวพอๆกับส่งผมให้ไปรบในแนวหน้าของสงครามเลยที่เดียว เพราะเด็กที่ไร้เหตุผล ไหนเลยเอาเหตุผลไปพูดคุยด้วยได้ แล้วมันจะยอมฟังหรือ แต่ตอนนั้นก็ขัดไม่ได้ ก็ขนาดตั๋งโต๊ะยังขัดหลายสาวตัวเองไม่ได้ จนต้องลงทุนลงแรงมาทดสอบผม แล้วผมจะไปขัดได้ยังไง ผมเลยต้องรับคำ แต่ก่อนไปตั๋งโต๊ะกำชับว่า "ตั๋งไป่เป็นหลานสาวที่ข้ารักมาก เจ้ายังหนุ่มแน่น นางก็เพิ่งเป็นสาว เมื่อเจ้ารู้จักประมาณตนว่าสิ่งใดคู่ควร สิ่งใดไม่คู่ควร ก็จงตระหนักไว้ให้จงดี" นี่แหละความหมายของสุราที่มันให้ผมดื่ม หนุ่มสาวใกล้ชิดกัน ย่อมอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝัน มันแม้ไม่ต้องการให้ผมไปเป็นที่ปรึกษาให้ตั๋งไป แต่ก็ขัดหลานสาวตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจึงมาปรามผมแทน ผมจึงพูดย้ายจากหัวหน้าคุมงานก่อสร้าง มาเป็นที่ปรึกษาให้กับตั๋งไป่ ซึ่งผมแปลกใจ ที่นางเป็นผู้ไปร้องขอตั๋งโต๊ะและเจาะจงผมมาโดยเฉพาะ นี่คงไม่ใช่นางแอบมีแผนการเล่นงานแก้แค้นผมอยู่ในใจ พอถึงเวลาที่ต้องไปทำหน้าที่ที่จวนของตั๋งไป่ ผมต้องระวังตัวแจตั้งแต่เข้าประตูจวน และแล้วก็เจอนางยืนรออยู่ พร้อมทหารองครักษ์กองหนึ่ง ตั๋งไป่พอเห็นผมก็กระหยิ่มยิ้มอย่างเย่อหยิ่งถือดี มองตรงมาที่ผม คล้ายจะรอดูว่าผมจะทักทายนางอย่างไร ผมจึงต้องทำตามธรรมเนียมมารยารทเมื่อเข้าพบผู้เป็นนาย จึงยกมือทั้งสองประสามมือคาราวะโค้งตัวคำนับ พูดเรียกว่า "ท่านหญิง" ตั๋งไป่ เผยยิ้มอย่างสมใจ แล้วปั้นหน้าเคร่ง พูดว่า "มาก็ดีแล้ว ข้ากำลังจะออกไปข้างนอก เจ้าก็ตามข้ามา" นางกล่าวจบก็เดินผ่านตัวผมไปพร้อมทหารองครักษ์ พากันขึ้นไปขี่ม้า แล้วออกไปโดยไม่รอ ผมต้องถอนหายใจ คิดในใจว่า ปู่กับหลานนิสัยแทบไม่ต่างกัน เย่อหยิ่ง ถือดี และไม่ให้เกียรติใคร นับว่าถอดแบบกรรมพันธุ์มาไม่ผิดเพี้ยน ดีที่นางเกิดมางดงามสะคราญโฉม เพราะถ้าไม่แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดให้คนเหลือบแลในตัวนางเลย ผมต้องรีบออกตามไป แล้วขึ้นม้าขี่เร่งฝีเท้าตามไปด้านหลัง จากนั้นทั้งหมดก็มุ่งตรงออกนอกประตูเมือง เข้าป่าไปล่าสัตว์ ตั๋งไป่นั้นมีฝีมือขี่ม้ายิงธนูร้ายกาจอยู่ คาดว่ากิจกรรมการล่าสัตว์เป็นกิจกรรมที่นางทำเป็นประจำ จึงมีความชำนิชำนาญ พอนางยิงได้ เหล่าองครักษ์ก็กล่าวเยินย่อสรรเสริญ เสียจนเลิศลอย ราวกับประดุจว่า ในโลกนี้มีเพียงคนเดียวที่ขี่ม้ายิงธนูเป็น ผมเห็นแล้วต้องอเนจอนาถใจ รู้สึกว่าสังคมในตอนนี้เป็นสังคมเลียแข็งเลียขาจนหาความจริงเท็จอะไรไม่ได้ ตั๋งไป่เติบโตมาในสิ่งแวดล้อมอย่างนี้ มีหรือจะไม่เสียคน ยามนั้น ตั๋งไป่ขี่ม้าไล่กวาง เหล่าทหารองครักษ์ส่วนหนึ่งแยกย้ายขี่ม้าตีวงโอบล้อมไว้ กวางกลับหนีลงทุ่งข้าวของชาวนาที่กำลังตั้งท้องออกร่วง ตั๋งไป่ควบม้าตามกวางลงไปบนทุ่งนา เหยียบย้ำนาข้าวเสียหาย ชาวนาเห็นจึงด่าตวาดว่าออกไป เสียงตวาดของชาวนา ทำให้ตั๋งไป่ที่กำลังเงื้อยิงธนูสะดุ้ง จนยิงธนูพลาดเป้า กวางเลยฉวยโอกาสเล็ดรอดหนีไปได้ ตั๋งไป่จึงโกรธ สั่งให้จับชาวนาคนนั้นมาลงโทษ ผมได้ยินดังนั้น ต้องรีบพูดว่า "ท่านหญิง เรื่องนี้เราเป็นผู้ผิด ที่ทำนาข้าวเขาเสียหาย ชาวนาไม่มีความผิดไม่ควรจะลงโทษ" ตั๋งไป่ กลับว่า "ไฉนจึงไม่ผิด มันกล่าวด่าข้า และเป็นสาเหตุทำกวางของข้าหลุดหายไป อย่างนี้ยังว่าไม่ผิดอีกหรือ" "ท่านหญิง เรื่องล่ากวางเป็นเรื่องเล่นเพื่อสนุก แต่ชาวนาปลูกข้าวเลี้ยงกองทัพ ผลผลิตครั้งหนึ่งต้องส่งส่วยถึงเจ็ดส่วน หากจะลงโทษพวกเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เป็นเรื่องไม่สมควร" ตั๋งไป่ เค้นเสียงดัง หึ แล้วเพิกเฉยต่อคำพูดผม ทำเป็นไม่สนใจ รอจนทหารเหล่านั่นไปจับตัวชาวนามาถึง ตั๋งไป่ก็สั่งให้เอาไปตัดหัว ผมตกใจจนตะลึง รีบเข้าไปห้ามพูดว่า "จะลงโทษก็ควรลงแต่สถานเบา ไฉนถึงขั้นต้องตัดศีรษะ" ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งเค้นดัง เฮอะ ตอบแทนว่า "คนผู้นี่กล่าวตวาดด่าท่านหญิง เท่ากับจาบจวงเบื้องสูง โทษลบหลู่เบื้องสูงนั้นก็สมควรตายแล้ว" ชาวนาใจหายแทบเป็นลม รีบก้มลงกราบกรานร้องขอชีวิต เพราะไม่ทราบว่าผู้มาเป็นใคร เนื่องจากเห็นคนขี่มาตามกวางเข้ามาในทุ่ง ทำนาเสียหายจึงด่าด้วยโมโห ผมก็พยายามร้องขอชีวิตให้ชาวนาแต่ก็ไม่มีใครฟัง ทหารก็ลากมันไปตัดศีรษะ ผมถึงกับเดือดดาลน้ำตาคลอ เพราะเรื่องแค่นี้ถึงกับต้องเอาชีวิตคน ยามหน้ามืดเดือดดาล จึงขึ้นเสียงด่านาง "ตั๋งไป่ เจ้าช่างจิตใจอำมหิตนัก เสียทีที่เกิดมามีพร้อมทั้งอำนาจวาสนา แต่กลับไม่เคยนำพามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ใช้เป็นแต่ข่มเหงรังแกคน เจ้านี่มันช่างเทียบไม่ได้เลยกับ งิวอี้หลาง" ตั๋งไป่ ถึงกับเดือดดาลเป็นการใหญ่ สั่งให้จับตัวผมไว้ แล้วพูดว่า "กาเซี่ยง ข้ามีอันใดเทียบไม่ได้กับงิวอี้หลาง ตอนนี้ข้าเป็นท่านหญิงอยู่เมืองหลวง งิวอี้หลาง ยังเป็นลูกเจ้าเมืองอยู่บ้านนอกนั้น และข้าก็ไม่ใช่ งิวอี้หลาง ที่ท่านจะมาตวาดว่าสั่งสอนได้ เฮอะ เดิมทีเห็นว่าท่านเคยสอนหนังสือให้กับงิวอี้หลาง ทั้งยังมีความชอบช่วยให้ท่านปู่ยกทัพเข้าเมืองหลวงได้ เห็นเจ้าตกอับลำบาก จึงคิดให้มาอยู่สุขสบาย เจ้าเพียงบุญคุณไม่สำนึก ยังกล้ากำแหงกับข้าอีกรึ ...ดี.. ตอนนี้ข้าจะให้โอกาส หากเจ้าก้มกราบกรานขอร้องข้า ข้าจะไม่ถือโทษโกรธเจ้า" ผมนั้นโมโหจนหน้ามืดแล้ว ต่อให้ตอนนี้เอาดาบมาบั่นคอ ก็จะไม่ขอก้มกราบกรานขอร้องนาง ตั๋งไป่เห็นผมดื้อดึงแข็งขื่น ไม่ปริปากอันใด ก็รู้สึกขัดใจจนขยี้เท้าอย่างโมโห แผดร้องว่า "เจ้าไฉน จึงไม่เคยขอโทษ ขอร้องข้า เจ้าไม่รักตัวกลัวตายอย่างนั้นรึ พลันชักกระบี่ออกมาข่มขู่" ลักษณะการณ์มันช่างคล้าย ภาพความหลังครั้งอยู่เมืองซีหลง ที่นางใช้กระบี่ฟันกรีดหน้าผม แต่ครั้งนี้นางคงไม่เพียงข่มขู่ เพราะหากนางสั่งฆ่าคนได้ นางก็ฆ่าผมได้เช่นกัน ผมจะอย่างไรก็ทำใจให้อ้อนวอนขอชีวิตกับนางไม่ได้ ดังนั้นจึงยินยอมพร้อมตาย จึงหลับตาพร้อมรับชะตากรรม ตั๋งไป่เห็นเช่นนั้น ต้องโมโหจนขยี้เท้าหนักกว่าเดิม แต่กระบี่ที่ผมคิดว่า นางจะฟาดฟันลงมากลับเก็บเข้าฟัก แล้วตั๋งไป่ก็ร้องสั่งว่า "นำตัวมันกลับไปขังไว้ก่อน" ทหารองครักษ์จึงจับผมมัดไว้ แล้วให้นั่งม้าพากลับเข้าเมือง ผมถูกขังอยู่ในห้องขังในจวนตั๋งไป่ ไม่ได้ถูกขังในเรือนจำของนักโทษทั่วไป และผมก็เป็นนักโทษคนเดียวในจวนนี้ ตั๋งไป่ยังจะให้โอกาสผมเนื่องๆ ขอเพียงผมยอมอ้อนวอนกราบกรานขอโทษนาง นางก็จะยกโทษให้ แต่ตอนนั้นผมจิตใจแข็งกร้าวไปเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ตายก็ไม่ยอมขอโทษนาง และให้อภัยกับสิ่งที่นางทำไม่ได้ ผมจึงถูกขังอยู่ในนั้นหลายเดือน ทุกเช้าตั๋งไป่ก็จะลงมาถามหาคำขอโทษจากผม ซึ่งผมก็จะทำเป็นเมินเฉย แม้นางจะข่มขู่ว่ายังไงก็ตาม คนคุมขังเห็นก็ยังแปลกใจ เพราะถ้าเป็นคนอื่นก็คงตายไปนานแล้ว แต่กับผมไฉนยังต้องเก็บเลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวสุก จะรีดเค้นทรมานให้มันพูดออกมาเลยก็ไม่เอา ให้มันมานั่งกินข้าวสบายๆอยู่ในคุก ไม่รู้ว่าตั๋งไป่นั้นคิดอะไรอยู่ นี่จริงตรงตามที่ว่า เด็กสาววัยรุ่นนั้นมักเดาใจได้ยาก พวกคนคุมคุกในจวน จึงพยายามกล่อมผมให้ผมขอโทษไปซะจะได้จบๆ เรื่อง พวกมันจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งเฝ้า แต่ผมก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดของคนเหล่านั้น ผมสนใจใช้เวลากับตัวเอง ทบทวนสิ่งที่เคยผ่านมาทั้งหมดในชีวิตตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบัน เพื่อรอวันที่จะถูกฆ่า แต่วันหนึ่ง ผู้คุมดูโกลาหนวุ่นวาย วิ่งเข้าๆ ออกๆ เหมือนข้างนอกมีเรื่องวุ่นวายอะไร แล้วจู่ๆ ก็มีคน 5 คนใส่ชุดดำอำพรางตัว ทะลวงฝ่าเข้ามาในที่คุมขัง พวกนั้นฆ่าสังหารผู้คุมที่อยู่ในนี้ แล้วจัดการเอากุนแจจากผู้คุมที่ตายมาไขเปิดประตูห้องขังผม ผมยืนตะลึงอย่างงงงันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อคนชุดดำที่ถือทวนเปิดที่คุมขังเข้ามา พร้อมดึงผ้าที่โพกปิดหน้าออก เรียกผม ว่า พี่เจ๋ง ผมถึงกับยิ้มทั้งน้ำตา นางก็คือ ตูตู้หลุน

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น