AEl5Nk.gif AEl5Nk.gif


เหตุเกิดที่โรงแรมblPdyV.gif
โดย Tom Mm

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
29/07/66

เต้ยกับพี่ติ่ง blPdyV.gif
โดย ตฤษณา

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

ผิดที่เมย์เองเลยโดนจับขึงพืดblPdyV.gif
โดย Uratarou

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

ฝึกงานที่บริษัทขายหมู่บ้านจัดสรรblPdyV.gif
โดย 子翔吳

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

พ่อเลี้ยงของหนู EP1blPdyV.gif
โดย Ken Ken

ข้อมูลอัฟเดทล่าสุด
28/07/66

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2563

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 31 ความลับในใจของหมอวิปลาส

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 31 ความลับในใจของหมอวิปลาส
โดย zeech

เฟยอี้นอนนิ่งคล้ายดั่งจะหลับไหลโดยมิทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด แล้วก็กลับรู้สึกตัวเมื่อพบว่ามีฝ่ามือหนึ่งลูบไล้ไปมา อยู่ตามเรือนร่างของมัน 


เป็นฝ่ามือของกิมเฮียกจื้อนั่นเอง นางคืบคลานเข้ามาหาเฟยอี้เพื่อขอให้มันปลดเปลื้องความกำหนัดให้แก่นาง นางใช้ฝ่ามือทั้งสองลูบไล้ไปตามเรือนกายของมัน ครั้นเห็นว่ามันยังไม่รู้สึกตัว นางก็ลุกไล่ด้วยการใช้ปลายลิ้นทดแทนฝ่ามือ โลมเลียไปทั้งเรือนร่างของมัน ขณะที่กิมเฮียกจื้อกำลังคลอเคลียอยู่กับเรือนร่างของเฟยอี้อยู่นั้น ธิดาเทพก็เคลื่อนกายเข้ามาแนบชิดกับร่างของเฟยอี้ทางเบื้องซ้าย องค์หญิงฯ เห็นธิดาเทพกระทำเช่นนั้นก็กระทำตามบ้าง นางเคลื่อนกายเข้ามาแนบชิดกับเฟยอี้ที่เบื้องขวา ทั้งสองนางต่างก็ถูกฤทธิ์ของยา จนก่อเกิดความกำหนัดอย่างสุดจะทนทาน เฟยอี้กลืนน้ำลายลงคอ จ้องมองกิมเฮียกจื้อใช้ลิ้นจู่โจมเรือนร่างตนเอง มันทั้งเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลีย ทั้งบังเกิดอาการขนลุก จนสะท้านไปทั้งร่างจากปลายลิ้นของนาง ครั้นหันใบหน้าไปทั้งซ้ายและขวาก็เห็นใบหน้าของธิดาเทพ และองค์หญิงฯ ซุกไซ้ใบหน้าเข้ามาคลอเคลียแนบชิดมันเช่นนั้น มันก็จ้องมองทั้ง ธิดาเทพ และองค์หญิงฯด้วยแววตาที่หวานซึ้ง แล้วโอบกอด ทั้งสองนางไว้จนแนบชิดด้วยความรักใคร่ มันครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่าจะกระทำเช่นใดเพื่อผ่อนคลายอาการทุกข์ทรมาน ให้กับนางทั้งสาม แล้วจึงคิดทดลองใช้วิธีก่อกวนให้พลังหยางของตนกำเริบขึ้นอีกมาครั้ง แล้วมันก็หลับตาลงแล้วลอบโคจรพลังปราณฟ้าดิน-หยินหยางอีกครั้ง พลันขุมพลังหยางในร่างของมันก็โคจรออกมาจากจุดตังชั้ง อันเป็นแหล่งกักเก็บ แล้วรวมตัวประสานกับสายพลังแห่งหยินหลายสายที่วนเวียนอยู่ในร่าง บังเกิดเป็นวงล้อแห่งหยิน-หยางอันสมดุลย์ โคจรไปทั่วร่างของมัน จนรับรู้ได้ถึงพลังบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ ที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังวัตรได้อย่างไม่สิ้นสุด เฟยอี้พลันรู้สึกแช่มชื่น และรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย จนอาการเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียหายไปหมดสิ้น กิมเฮียกจื้อ เห็นมันนอนหลับตานิ่งไม่สนใจนาง นางจึงตรงเข้าจู่โจมใส่แก่นกายของเฟยอี้ด้วยการโลมเลียด้วยปลายลิ้นแล้วตวัด วนเวียนไปมาอยู่บริเวณส่วนหัวของแก่นกาย จนเฟยอี้ต้องถึงกับหยุดการโคจรลมปราณเปิดเปลือกตาขึ้น แล้วห่อปากส่งเสียง คร่ำครวญออกมา "โอ๊ะ.........ซี๊ดดดด........." มันคิดจะยันกายขึ้นเพื่อจะตอบสนองให้แก่นางบ้าง แต่ก็กลับถูกธิดาเทพ และองค์หญิงฯ รั้งร่างเอาไว้ให้อยู่กับพวกนาง พลางลูบไล้ เรือนกายของมันอยู่ไปมา กิมเฮียกจื้อลากปลายลิ้นไล่ลงมาจากส่วนหัวแห่งแก่นกาย ลงมายังลำอันแข็งเกร็ง แล้วตวัดเวียนวนไปมาอยู่ที่พวงสวรรค์ของมัน ความเสียวซ่านจากสัมผัสแห่งปลายลิ้นของกิมเฮียกจื้อ ทำให้เฟยอี้ถึงกับต้องแอ่นร่างขึ้นแล้วร้องครางออกมาอย่างสุดเสียว "โอ้ววววววว...........เฮียกจื้อ......" ที่ผ่านมามันเคยแต่ทรมานสตรีด้วยเพลงลิ้นของมัน แต่ครานี้กลับถูกกิมเฮียกจื้อที่จ้องมองดูมันกระทำต่อนางอื่นๆมาโดยตลอด แล้วนางก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก นางมิเพียงแต่โลมเลียที่พวงสวรรค์เท่านั่น แต่ลิ้นของนางกลับลากเลียไล่ลึกลงไปต่ำกว่านั้น จนถึงจุดอันเป็นแหล่งรวมประสาทสัมผัสแห่งบรุษเพศ เฟยอี้ถูกกระทำเข้าเช่นนี้ก็ถึงกับผงกศรีษะขึ้นมองดู พร้อมกับร่ำร้องระบายความเสียวซ่านที่อัดอั้นจากภายในออกมา "โอ้วววววววว.........โอ้ววววว.........เฮียกจื้อ.....เจ้ากระทำสิ่งใด.......ข้า...ข้า...เสียวยิ่งนัก.....โอ้วววววววว......." มิเพียงเท่านั้น ทั้งธิดาเทพ และองค์หญิง เห็นมันคร่ำครวญคล้ายดั่งมีความสุข ก็กระทำเลียนแบบกิมเฮียกจื้อบ้าง นางทั้งสองก้มลงใช้ลิ้นโลมเลียไปมาจนทั่วแผ่นอกของมัน แล้วทั้งธิดาเทพ และองค์หญิงต่างก็ใช้ปากอันอ่อนนุ่มของพวกนางอมยอดอกทั้งสอง ของมันไว้ พร้อมกับใช้ลิ้นทั้งดุนทั้งผลักอยู่ไปมา บางคราก็ดูดกินอย่างรุนแรง ทั้งนี้ก็เพราะพวกนางก็ได้เคยถูกมันกระทำ ต่อพวกนางเช่นนี้ดุจเดียวกัน เฟยอี้คล้ายดังถูกกรรมตามสนอง บทรักที่มันกระทำต่อพวกนาง ล้วนถูกพวกนางนำกลับมาใช้กับมันจนหมดสิ้น มันถูกจู่โจมพร้อมกัน หลายจุดเช่นนั้น จนก่อเกิดทั้งความสุขอย่างเหลือล้น ทั้งเสียวซ่านทรมาน เพลิงกำหนัดของมันถูกปลุกจนลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มิใช่จากพลังหยางในร่างแต่เกิดจากเพลงลิ้นของทั้งสามนางที่กำลังกลุ้มรุมมันอยู่ กิมเฮียกจื้อ เห็นทั้งองค์หญิงและธิดาเทพต่างก็ใช้ลิ้นเลียนแบบตน จึงชิงจังหวะโหมจู่โจมใส่เรือนร่างของเฟยอี้ก่อนด้วยการลุกขึ้นแล้วนั่งคร่อม ลงบนเรือนร่างของมัน มือของนางข้างหนึ่งล้วงจับแก่นกายของมันไว้ให้ตรงกับตำแหน่งร่องสวาทของนาง แล้วทิ้งน้ำหนักตัวลง จนโพรงสวาทของนางกลืนกินแก่นกายของมันลงไปจนหมดสิ้น นางแอ่นเรือนร่างอันอ้อนแอ้น แล้วจ้องมองไปยังไปหน้าของเฟยอี้ด้วยแววตาตาอันยั่วยวน เผยให้เห็นทรวงอกกลมกลึงอันมีปลายยอดที่ตั้งชี้ แล้วขยับร่างคลึงวนเวียนอยู่ไปมากับแก่นกายของมัน เฟยอี้กระทำได้แต่เพียงร่ำร้องออกมา เท่านั้น แม้มันคิดใช้มือทั้งสองรวบช่วงเอวของกิมเฮียกจื้อแล้วกระแทกกระทั้นสวนขึ้นไปให้สาสม กับความซ่านเสียวที่มันกำลังได้รับ แต่ก็มิอาจจะกระทำได้ ด้วยว่าถูกเรือนร่างขององค์หญิงฯ และ ธิดาเทพขวางกั้นเอาไว้ "อ้าาาาาาา.......ซี๊ดดดดดดดดดด...............อืมมมมมมม.........." กิมเฮียกจื้อหลับตาพริ้ม พลางโยกย้ายเรือนร่างคลึงวนอยู่กับแก่นกายของเฟยอี้ ตามแรงกำหนัดที่เร่าร้อนอยู่ภายใน นางยิ่งกระทำ ความเร่าร้อนแห่งกำหนัดก็ยิ่งลุกโชนขึ้น จนสองมือของนางแปรเปลี่ยนมาเป็นมายันกายไว้กับโคนขาทั้งสองของเฟยอี้ แล้วโยกร่างขึ้นกระแทกกระทั้นอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากของนางเผยอขึ้นส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมามิได้ขาดปาก "ซี๊ดดดดด..........อืมมมมมมม............ซื๊ดดดดดดดด.............ฮ้าาาาาาา...........ซี๊ดดดดด........" เฟยอี้เองก็รู้สึกซ่านเสียวกับกระบวนท่านี้ของนางอย่างที่สุด จนมันต้องแอ่นแก่นกายของมันขึ้นตั้งรับ ในเวลาที่นางถาโถม เนินสวาทของนางลงมา จนบังเกิดเป็นเสียงกระทบกันจากเรือนร่างของคนทั้งสอง ธิดาเทพเองก็หาได้หยุดนิ่งไม่ นางโน้มกายลงจุมพิตแล้วสอดลิ้นล้วงลึกลงไปในปากของเฟยอี้อย่างเร่าร้อน องค์หญิงฯเห็นเช่นนั้น นางก็กระทำตามบ้างด้วยการเลื่อนใบหน้าลงไปที่ส่วนท้องของมันแล้วลากลิ้นหมุนวนไปจนทั่ว เฟยอี้ปลดปล่อยเรือนร่างให้ทั้งสามนางรุมกระทำต่อมัน แล้วแสดงอาการคล้ายดั่งเจ็บปวดจนเหลือกำลัง แต่ภายในของมันนั้นกลับท่วมท้น ไปด้วยความซ่านเสียวอย่างสุขล้น แต่แล้วขณะที่มันกำลังตกอยูในภวังค์แห่งความเพลิดเพลินอยู่นั้น กิมเฮียกจื้อกลับส่งเสียงร้องดังและถี่ขึ้น "อ้าาาา.....ซี๊ดดดด......อ้าาาาาา........ซี๊ดดดดดด......อ้าาาาา......ซี๊ดดดดดด....." อาการโยกเรือนร่างของนางแปรเปลี่ยนเป็นกระชั้นถี่และรุนแรง เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ทราบว่านางใกล้จะถึงจุดสุขสมแล้ว แต่พลันนางกลับชะลอ การโยกคลึงลง มันจึงมิยินยอมที่จะให้นางผ่านพ้นไปในสภาวะเช่นนี้ เฟยอี้ผลักดันแก่นกายของมันจนแนบชิดกับเนินสวาทของนาง แล้วกลับเป็นฝ่ายบิดสะโพกโยกคลึงอย่างหนักหน่วง จนกิมเฮียกจื้อสะดุ้งร่างสั่นสะท้าน ถึงสองสามครั้ง แล้วส่งเสียงครางดังยาวออกมาอย่างสุขสมก่อนที่จะฟุบร่างลงบนเรือนร่างของเฟยอี้อย่างอ่อนเพลีย "โอ๊ะ.....เฟยอี้....เฟยอี้.....โอ๊ะ.....โอ้วววววววววววว................." เฟยอี้ปลดปล่อยกิมเฮียกจื้อให้หลุดพ้นจากฤทธิ์แห่งความกำหนัดจนเสร็จสิ้นไปอีกผู้หนึ่งแล้ว คงเหลือแต่เพียง ธิดาเทพ และองค์หญิงฯซึ่งกำลังคลอเคลีย อยู่ข้างกายมันทั้งสองด้าน ธิดาเทพผลักดันร่างของกิมเฮียกจื้อให้หลุดพ้นไปจากร่างของเฟยอี้แล้วคืบกายของนางเข้ามาทดแทน แต่ครานี้เฟยอี้มิยินยอมให้พวกนางกระทำต่อมัน เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป มันโอบรัดเรือนร่างของธิดาเทพไว้ แล้วพลิกร่างของนางลงนอนเคียงข้างกายมัน ณ เบื้องซ้าย เฟยอี้จ้องมองใบหน้าอันงดงาม ของธิดาเทพแล้วหวนคิดถึงวันแรกที่มันได้พบเจอกับนาง มันมิเคยได้คาดคิดว่าในที่สุดนางผู้เลอโฉมผู้นี้จะกลับกลายมาเป็นภรรยาอันเป็นที่รักของมัน ธิดาเทพจ้องมองใบหน้าของเฟยอี้อย่างโหยหาแล้วกล่าวขึ้นว่า "เจ้าทึ่ม....ข้าต้องการเจ้า.........." แล้วนางก็ขยับเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของนางเข้ามาจนแนบชิดติดกับร่างของเฟยอี้ จนแทบมิมีส่วนใดที่ไม่สัมผัสกัน เฟยอี้เลื่อนฝ่ามือลูบไล้ ไปตามเรียวขางามของนางแล้วจับยกขึ้น คล้องไว้กับแขนของมันจนร่องสวาทของนางเปิดอ้าออก แล้วจึงขยับร่างดันแก่นกายของมันให้ทะลุทะลวง ล่วงผ่านเข้าไปในโพรงสวาทของนางทันที "โอ๊ะ......" ธิดาเทพสะดุ้งร่างขึ้นเฮือกหนึ่ง แล้วปิดตาลงดื่มด่ำไปกับการตอบสนองความกำหนัดที่เฟยอี้มอบให้ เฟยอี้ขยับเรือนร่างให้แก่นกายของมันเข้าออกอย่างเชื่องช้าแต่ล้ำลึก ทุกการเเคลื่อนไหวของมันล้วนสร้างความซ่านเสียวให้แก่นางอย่างที่สุด ร่างของคนทั้งสองเคลื่อนไหวบดบี้กันอย่างแนบแน่น พลางคลอเคลียใบหน้าเข้าแนบชิดกันแล้วจ้องมองกัน ด้วยแววตาแห่งความปรารถนา และความรักที่มีต่อกันอย่างลึกซึ้ง 


พลันเฟยอี้ก็รู้สึกว่า ที่เบื้องหลังของตนกำลังได้รับสัมผัสอันนุ่มนิ่มจากเรือนร่างเปลือยเปล่าขององค์หญิงฯ นางแนบชิดเรือนร่างของนางมาประชิดติด กับแผ่นหลังของมัน แล้วเคลื่อนไหวเรือนร่างอยู่ไปมาพลางเคล้าคลอใบหน้าอยู่บนไหล่ของมัน เฟยอี้รู้สึกเป็นสุขใจยิ่งนักที่นางอันเป็นที่รักของมันทั้งสอง ได้มาอยู่ใกล้ชิดโดยพร้อมหน้ากับมันเช่นนี้ เฟยอี้ถูกร่างเปลือยเปล่าอันงดงามของทั้งสองนาง กระหนาบร่างของมันไว้ด้วยความเร่าร้อน แต่มันก็มิอาจปลดปล่อยอารมณ์ไปตามแรงปรารถนา ของมันได้ เนื่องด้วยทั้งสองนางล้วนรอคอยให้มันปลดเปลื้องจากความทุกข์ทรมานที่พวกนางกำลังได้รับอยู่ เฟยอี้จึงพลิกร่างขึ้นคร่อมทับร่างของ ธิดาเทพ แล้วยันมือทั้งสองของมันไว้กับพื้นพร้อมกับขยับบั้นเอวส่งแก่นกายของมันให้ล่วงล้ำเข้าไปในโพรงสวาทของธิดาเทพจนมิด มันนิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่บดเน้นสะโพกคลึงวนไปที่โพรงสวาทของนาง แล้วกระทำซ้ำเช่นนี้อีกอย่างต่อเนื่อง ธิดาเทพถูกกระทำเข้าเช่นนี้ก็แปรเปลี่ยนใบหน้าเป็นบิดเบี้ยว ส่งเสียงระบายความซ่านเสียวออกมาอย่างสั่นเครือ "โอววว....เจ้าทึ่ม........โอววววววว........ข้าเสียวเหลือเกิน......โอ้วววววว......ซี๊ดดดดด......" เฟยอี้ใช้กระบวนท่านี้จนเห็นว่า นางมีอาการพร้อมที่ถึงจุดสุขสมแล้ว จึงแปรเปลี่ยนจังหวะของมันเป็นทั้งรุนแรงและรัวถี่ จนเสียงร่ำร้องของธิดาแปรเปลี่ยนเป็นดังกระช้ันถี่ขึ้นตามจังหวะที่แปรเปลี่ยนของมัน "โอวววว....ซี๊ดดด....โอวววว....ซี๊ดดด....โอวววว....ซี๊ดดด....โอวววว....ซี๊ดดด....โอวววว....ซี๊ดดด....โอวววว....ซี๊ดดด...." จนในที่สุด ธิดาเทพก็บิดร่าง นิ่งค้าง พลางหลับตานิ่งเผยอริมฝีปากปลดปล่อยลมออกมาอย่างสุขสม เฟยอี้เห็นอาการของนางเป็นเช่นนั้น ก็แย้มยิ้มแล้วทอดร่างลงทาบทับพร้อมกับประกบริมฝีปากกับนางอย่างดูดดื่ม แต่แล้วเสียงขององค์หญิงก็ดังขึ้นที่เบื้องขวาของมัน "เฟยอี้........ข้าทรมานเหลือเกิน......ช่วยข้าด้วย...." เฟยอี้หันไปมององค์หญิงฯ เห็นนางกำลังจ้องมองมายังมัน ด้วยแววตาที่อ้อนวอน ก็บังเกิดทั้งความรักและความสงสารขึ้นจับใจ มันหวนระลึกถึงคืนวันที่ได้อยู่กับนางเพียงลำพัง นางผู้นี้ได้ฝ่าฟันความทุกข์ยากลำบากมากับมันโดยมิเคยปริปากบ่น ทั้งยังเคยช่วยเหลือมันให้รอดพ้นจากความตายโดยยินยอมใช้เรือนร่างของตนเองเข้าแลก มันก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของธิดาเทพคล้ายบอกลา แล้วเคลื่อนร่างเข้ามาหาองค์หญิงฯ พร้อมกับใช้สองมือของมันโอบกอดร่างของนางไว้ อย่างนุ่มนวล "องค์หญิงฯ.....ข้ารักท่านยิ่งนัก" แล้วมันก็จุมพิตนางอย่างดื่มด่ำเนิ่นนาน องค์หญิงฯขยับเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางให้สัมผัสกับเรือนร่างของมันอยู่ไปมา ตามแรงปรารถนาที่รุมเร้านางอยู่ภายใน เฟยอี้เห็นอาการของนางเป็นเช่นนั้นก็ขยับเรือนร่างของมันบดบี้ตอบสนองความต้องการของนาง แก่นกายอันแข็งเกร็งของมัน ถูไถอยู่ไปมากับเนินสวาทของนางจนรู้สึกได้ถึงความฉ่ำเยิ้มของนาง 


องค์หญิงฯส่งเสียงครางกระเส่า ส่งสายตาอ้อนวอนต่อมันอย่างน่าสงสาร "อืมมมม.......ซี๊ดดดด......เฟยอี้....ข้าต้องการเจ้า.......ช่วยข้าด้วย....." เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ล้วงมือลงไปคลึงเค้นเนินสวาทของนาง นิ้วมือหนึ่งของมันสอดลึกลงไปยังร่องหลืบอันฉ่ำเยิ้มจนสัมผัสกับติ่งสวาท ของนาง แล้วบดบี้หมุนวนอย่างนิ่มนวล จนองค์หญิงฯสะดุ้งร่างแล้วปิดตาลงครางออกมาอย่างสุดเสียว ยิ่งเฟยอี้ใช้นิ้วคลึงวนที่ติ่งสวาทของนาง ความฉ่ำเยิ้มของนางก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น แล้วเฟยอี้ก็ลดใบหน้าของตนลงจู่โจมไปที่ทรวงอกทั้งสอง มันจู่โจมใส่เรือนร่างของนางพร้อมกันถึงสองทาง เพราะต้องการเร่งเร้าเพลิงสวาทของนางให้ลุกโชนอย่างที่สุดก่อนที่จะส่งนางไปพบกับจุดสุขสม องค์หญิงฯรู้สึกซ่านเสียวจนนางต้องบิดกายอยู่ไปมา นางรู้สึกคล้ายกับจะได้รับการตอบสนองต่ออารมณ์ที่รุมเร้า แต่อีกทางก็คล้ายกับถูก เฟยอี้ก่อกวนให้เพิ่มพูนความต้องการมากขึ้น จนนางมิอาจจะทนทานอีกต่อไป "เฟยอี้...เจ้าอย่าทรมานข้าอีกเลย....โปรดช่วยข้าด้วยเถิด..." เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็เงยหน้าขึ้นสบตากับนางด้วยความรัก แล้วพลิกร่างขึ้นทาบทับเรือนร่างอันงดงามของนาง แก่นกายของมันถูกวางพาดลงบน เนินสวาทอันนูนเด่นแล้วคลึงวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะใช้มือจับแก่นกายของมันถูไถไปมาตามแนวร่องสวาทของนางแล้วผลักดันเข้าไปอย่างเชื่องช้า จนมิดลำแก่นกาย องค์หญิงฯเผยอริมฝีปากปลดปล่อยเสียงร่ำร้องออกมาด้วยความซ่านเสียว นางได้รับการตอบสนองต่ออารมณ์กำหนัดที่กำลังเผาผลาญนาง อย่างทุกข์ทรมาน จนได้รับการผ่อนคลายลง แล้วกลับกลายเป็นความซ่านเสียวอย่างสุขล้น ทุกครั้งที่เฟยอี้ขยับแก่นกายของมันเข้าและออกจากโพรงสวาทอันคับแน่น นางก็ถึงส่งเสียงร่ำร้องออกมาทุกครั้ง "โอ้ววววววว............ซี๊ดดดดดดด.........โอ้ววววววววว........ซี๊ดดดดดด...............โอ้วววววววววว..........ซี๊ดดดดดดด........" เฟยอี้เอง แม้จะได้รับความสุขจากเรือนร่างของเหล่านางอันเป็นที่รักมาก่อนหน้านี้ จนแทบที่จะไร้เรี่ยวแรง แต่เมื่อถูกโพรงสวาทขององค์หญิงฯ ตอดรัดมันอย่างรุนแรงเช่นนี้ มันก็ถึงกับร่ำร้องอย่างสาแก่อารมณ์ออกมา แล้วพยายามระงับอารมณ์ตนเองมิให้ไปถึงจุดสุขสมก่อนองค์หญิงฯ มันกระแทกกระทั้นแก่นกายของมัน สลับกับคลึงวนเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนในที่สุด องค์หญิงฯก็เริ่มหายใจหอบถี่ แล้วส่งเสียงคร่ำครวญอย่างเร่งเร้า เฟยอี้เห็นอาการของนางเป็นเช่นนั้น ก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น ด้วยมันต้องการที่ไปถึงจุดสุขสมพร้อมกันกับนาง จนในที่สุด "โอ๊ะ....ซี๊ดดดด....โอ๊ะ....ซี๊ดดดด....โอ๊ะ....ซี๊ดดดด....โอ๊ะ....ซี๊ดดดด....เฟยอี้....เฟยอี้.....โอวว....โอ้ววววววววววว..................." ร่างขององค์หญิงฯแอ่นค้างขึ้นพร้อมกับมีอาการสั่นสะท้าน ใบหน้าของนางเลื่อนลอยคล้ายอยู่ในภวังค์แห่งความสุขสม แล้วปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เฟยอี้ปลดปล่อยน้ำรักของมันเข้าสู่โพรงสวาทของนางจนหมดสิ้นทุกหยาดหยด แล้วฟุบร่างลงทาบทับร่างของนาง ก่อนที่จะหลับไหลไปอย่างไม่ได้สติ -------- หมอวิปลาสเร่งรีบออกเดินทางไปยังวังเบญจธาตุ ด้วยใจอันร้อนรน มันคิดเป็นห่วงหยางเพ่ยจือเกรงว่านางจะได้รับอันตราย จากฝีมือของเว่ยฉิงคัง ยิ่งมันเดินทางมาจนเข้าใกล้เขตแดนแห่งวังเบญจธาตุ ก็ยิ่งมีเสียงร่ำลือถึงความโหดเหี้ยมของเว่ยฉิงคัง ที่เข่นฆ่าล้างผลาญคนในวังเบญจธาตุจนตายเสียเกือบหมดสิ้น มันยิ่งคิดเป็นห่วง และเกิดความกังวลมากยิ่งขึ้นไปอีก หมอวิปลาสจึงเร่งรีบเดินทางจนแทบมิได้หยุดพักผ่อน จนในที่สุดมันก็มาถึงวังเบญจธาตุในเวลาพลบค่ำ ด้วยจิตใจอันร้อนรนของมัน หมอวิปลาสใช้วิชาตัวเบาอันล้ำเลิศของมันลักลอบเข้าไปจนถึงห้องยาอันเป็นที่พักอาศัยของหยางเพ่ยจือ แต่ภาพที่มันเห็นก็คือ ซากปรักหักพัง ของสิ่งของในห้องยาที่หยางเพ่ยจือเคยใช้ ห้องยานั้นดูรกร้างคล้ายกับมิเคยมีผู้อาศัยอยู่ มันหันมองดูไปโดยรอบ ก็พบแต่ความเงียบเหงารกร้าง จิตใจของมันพลันบังเกิดความสลดหดหู่ยิ่งนัก แต่แล้วมันก็ตั้งสติได้ แล้วครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่าต้องหาเบาะแสจากผู้คนที่อาจหลงเหลืออยู่ให้จงได้ จึงโผทะยานร่างขึ้นสู่หลังคาตึก แล้วสอดส่องมองลงมาดูความเคลื่อนไหวภายในวัง มันเฝ้ารอนิ่งอยู่บนหลังคาตึกนั้นจนเวลาผ่านไปหลายชั่วยาม ก็แลเห็นเงาร่าง ของสตรีอ้วนท้วนผู้หนึ่ง กำลังถือถาดใส่สุราและกับแกล้มเดินออกมาจากครัวของวัง หมอวิปลาสทะยานร่างติดตามนางผู้นั้นไปในทันที พอถึงตำแหน่งอันลับตา มันก็กระโดดลงมาจากเบื้องบนยืนขวางหน้านาง พร้อมกับจี้สกัดจุดนางไว้ สตรีอ้วนท้วนนั้นมีสีหน้าตื่นตกใจระล่ำระลักถามออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า "...ทะ....ทะ....ทะ.......ท่าน.....เป็นใคร.........ต้องการสิ่งใด.......ได้โปรดอย่า......อย่าทำร้ายข้าเลย....." หมอวิปลาสยกฝ่ามือขึ้นปิดปากของนางแล้วกล่าวว่า "อย่าส่งเสียง.....หากว่าเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่.....จงตอบคำถามข้ามา......ตอนนี้ หยางเพ่ยจืออยู่ ณ ที่ใด" แท้ที่จริงสตรีอ้วนท้วนผู้นั้น คือคนแห่งวังเบญจธาตุที่คอยรับใช้หยางเพ่ยจืออย่างซื่อสัตย์ นางได้ช่วยเหลือหยางเพ่ยจือให้หลบหนี ออกจากวังเบญจธาตุได้อย่างทันท่วงที แล้วกลบเกลื่อนร่องรอยจนไม่มีผู้คนสงสัย เว่ยฉิงคังเห็นว่านางเป็นสตรีไร้วรยุทธ์ จึงไว้ชีวิตนาง แล้วนำมาเป็นทาสเพื่อทำอาหารเลี้ยงดูกองกำลังของตน สตรีอ้วนท้วนนั้นครั้นเห็นหมอวิปลาสไถ่ถามถึงหยางเพ่ยจือ ก็เกรงว่าหากบอกไปตามที่นางรู้ หยางเพ่ยจือก็อาจถูกติดตามไปเอาชีวิตได้ จึงแสร้งกล่าวขึ้นว่า "เทพธิดาหมื่นพิษ นางได้ถูกพวกท่านฆ่าตายไปแล้ว ได้โปรดอย่าทำร้ายข้าเลย ให้ข้าได้เป็นทาสรับใช้พวกท่านต่อไปเถิด" หมอวิปลาสพอได้ยินเช่นนั้น มันก็แทบสิ้นเรี่ยวแรงมิอาจหยัดยืนได้เป็นปกติ ร่างของมันเซไปจนพิงกับผนังตึก ใบหน้าของมัน หม่นหมองสลดหดหู่ลงอย่างเห็นได้ชัด สตรีอ้วนท้วนนั้นเห็นอาการของมันก็คิดสงสัย จึงเอ่ยปากไถ่ถามขึ้นว่า "ที่แท้ท่านคือผู้ใด เหตุใดจึงไถ่ถามถึง เทพธิดาหมื่นพิษ" หมอวิปลาสแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นคลั่งแค้นเบิกตาโพลงแล้วส่งเสียงถามออกมาว่า "ใคร.....ใครเป็นผู้สังหารนาง ข้าจะฆ่ามันแล้วสับมันเป็นหมื่นชิ้น" สตรีอ้วนท้วนได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ่งมั่นใจว่า หมอวิปลาสหาใช่คนของเว่ยฉิงคัง จึงกล่าวออกมาว่า "ท่าน...โปรดบอกต่อข้าก่อน ว่าท่านเป็นใคร....แล้วไถ่ถามถึง เทพธิดาหมื่นพิษด้วยจุดประสงค์ใด" "ข้า เมี่ยวนึ้งตง ติดตามมาเพื่อช่วยเหลือนาง แต่........กลับสายไปเสียแล้ว" สตรีอ้วนท้วนนั้น ครั้นได้ฟังว่ามันมีชื่อว่า เมี่ยวนึ้งตง ก็จดจำถ้อยคำของหยางเพ่ยจือที่เคยกล่าวกับนางไว้ก่อนที่จะหลบหนีไป ได้ว่า หากมีคนชื่อ เมี่ยวนึ้งตงมาติดตามหานาง ก็ให้แจ้งเบาะแสของนางต่อคนผู้นั้น จึงตัดสินใจบอกกล่าวต่อมันว่า "ท่านเมี่ยวนึ้งตง เทพธิดาหมื่นพิษได้สั่งความต่อข้าไว้ว่า หากว่าท่านติดตามมาหานางให้แจ้งต่อท่านไปว่า นางได้หลบหนี ออกจากวังเบญจธาตุและมุ่งไปยังยังทิศตะวันตก" หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้น ก็มีดวงตาเบิกกว้าง กล่าวออกมาอย่างลิงโลดใจว่า "นาง....นางยังไม่ตายใช่หรือไม่.....โอ้ว...." หมอวิปลาสบังเกิดความแช่มชื่นใจ คลายความเศร้าหมองลง กล่าวขอบคุณต่อสตรีอ้วนท้วนนางนั้น ด้วยท่าทีที่ร่าเริง แล้วเร่งรีบติดตามนางไปทางทิศตะวันตกในทันที ด้านหลังวังเบญจธาตุอันตั้งอยู่ในทิศตะวันตก เป็นภูมิประเทศอันรกครึ้มไปด้วยป่า จนแสงแห่งดวงตะวันมิอาจส่องผ่านมาถึงพื้น บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความอับชื้น และเงียบสงัด หมอวิปลาสเร่งฝีเท้าทะยานร่างด้วยวิชาเมฆาลอยล่องจนร่างของมันดูคล้ายกับเหาะเหิร อยู่ในอากาศ มุ่งไปยังทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว จนแสงแห่งดวงตะวันเริ่มส่องสว่างจับขอบฟ้า พลันประสาทสัมผัสอันว่องไวของมันก็แจ้งเตือนว่ามีบุคลผู้หนึ่งลอบติดตามมันมา แม้บุคคลผู้นั้นจะมีวิชาตัวเบาที่ต่ำทราม แต่ก็ยังคงไล่ตามติดมันอย่างไม่ลดละ หมอวิปลาส จึงพริ้วร่างหลบแล้วโผทะยานอ้อมไปยังเบื้องหลังของผู้ที่กำลังติดตามมันอยู่ จนพบว่าเป็นสตรีนางหนึ่งวัยราวยี่สิบสี่ ยี่สิบห้า แต่งกายคล้ายอยู่ในลัทธิประหลาดที่มันไม่เคยพบเห็นมาก่อน ด้วยความสงสัยมันจึงตรงเข้าจู่โจมใส่นางผู้นั้นในทันที สตรีนางนั้นตื่นตกใจยิ่งนักที่เห็นมันมาอยู่ที่เบื้องหลังของนาง แต่นางก็ต้องเร่งร่ายรำกระบวนท่าเข้าต้านรับการจู่โจมของหมอวิปลาส และสามารถตั้งรับได้เพียงสามกระบวนท่า ก็ถูกหมอวิปลาสรวบมือทั้งสองแล้วใช้อ้อมแขนข้างหนึ่งโอบรัดร่างของนางไว้ พร้อมกับกล่าวออกมาว่า "บอกข้ามา.....เจ้าคือผู้ใด ลอบติดตามข้ามาด้วยเหตุใด" สตรีผู้นั้นไม่กล่าวคำใดออกมา แต่กลับพยายามดิ้นรนให้ตนเองหลุดพ้นจากการโอบรัดของมัน จนหมอวิปลาสกล่าวขึ้นว่า "หากเจ้ายังนิ่งเฉยไม่ตอบข้า ข้าจะลวนลามเจ้า" มันกล่าวออกมาแต่กลับมิได้รอคำตอบ มืออีกข้างหนึ่งของมันลูบไล้พลางเค้นคลึงไปมาอยู่ที่ทรวงอกของสตรีผู้นั้น จนนางต้องเร่งร้อนเอ่ยปากห้ามปรามมัน "อย่า.....ว๊ายยยยย......อย่า.....อย่าทำข้า......ข้ายินยอมบอกต่อเจ้าแล้ว" หมอวิปลาสหยุดการลูบไล้ทรวงอกของสตรีผู้นั้น แต่ฝ่ามือของมันกลับยังคงเกาะกุมที่ปทุมถันของนางไว้ข้างหนึ่ง แล้วกล่าวว่า "เร่งบอกออกมา" สตรีนางนั้นทั้งเกรงกลัว ทั้งอับอาย จึงเร่งบอกออกมาว่า "ข้าเป็นศิษย์แห่งสำนักแมงมุมขาว ประมุขของข้ามีคำสั่งให้หาตัวท่านแล้วมอบข้อความหนึ่งต่อท่าน" หมอวิปลาสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังไม่สามารถจดจำได้ว่า สำนักแมงมุมขาวมีสิ่งใดเกี่ยวพันกับตน จึงกล่าวว่า "เช่นนั้น เอาข้อความนั้นออกมาให้ข้า" "เช่นนั้นก็ปล่อยข้าก่อน แล้วข้าจะหยิบให้ท่าน" หมอวิปลาสปล่อยมือที่โอบรัดร่างของนาง ให้เป็นอิสระ แล้วแปรเปลี่ยนฝ่ามือของมันเป็นดรรชนีจี้สกัดจุดนางไว้อย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวว่า "จงบอกต่อข้า ว่าข้อความนั้นเจ้าเก็บไว้ที่ใด ข้าจะหยิบมันเอง แต่หากว่าเจ้ามิยินยอม ข้าก็จะเปลื้องผ้าของเจ้าออกจนหมด แล้วดูว่าจะพบเจอข้อความที่เจ้ากล่าวมาหรือไม่" สตรีนางนั้นตาเบิกกว้าง เร่งรีบกล่าวบอกมันในทันที "อยู่......อยู่....ในอกเสื้อของข้า" หมอวิปลาสไม่รั้งรอใดๆ ล้วงมือลึกลงไปในอกเสื้อของสตรีผู้นั้นทันที ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตกใจของนาง จนมันพบกระดาษพับอยู่หนึ่งแผ่น จึงหยิบออกมาคลี่ออกดูก็พบข้อความว่า "หยางเพ่ยจืออยู่ในกำมือของข้า หากว่าเจ้าต้องการได้นางคืน จงนำคัมภีร์หมื่นพิษจากวังเบญจธาตุมาแลกตัวนาง มิเช่นนั้นก็ได้หวังว่าจะได้พบเจอนางอีก" มันอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นจนจบ พลันสีหน้าของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวออกมาว่า "จงบอกข้ามา พวกเจ้าได้ทำร้ายหยางเพ่ยจือหรือไม่" ศิษย์แห่งสำนักแมงมุมขาวผู้นั้นก็กล่าวว่า "นางมิได้ถูกทำร้าย เพียงแต่ถูกประมุขของข้าพันธนาการไว้เท่านั้น" พอมันได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น ก็ตรงเข้ารวบร่างของนางผู้นั้นแบกไว้บนบ่าของมัน แล้วกล่าวว่า "เจ้าจงนำทางข้าไปพบกับประมุขของเจ้า" หมอวิปลาสทะยานร่างของมันไปด้วยวิชาตัวเบาอันล้ำเลิศ ผ่านแนวป่าอันรกครึ้มและชุ่มชื้น จนทิวทัศน์ระหว่างทางค่อยๆแปรเปลี่ยน เป็นแห้งแล้งแล้วบรรลุถึงดินแดนแห่งทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ศิษย์ของมารแมงมุมขาวผู้นั้นบอกทางให้มันไปยังทิวเขากลางทะเลทราย ที่อยู่เบื้องหน้า เพียงครึ่งชั่วยามหมอวิปลาสก็เดินทางมาถึงกลางหุบเขานั้น จนได้พบกับช่องเขาดำมืดขนาดใหญ่ มันจึงหยุดยืน แล้วปล่อยตัวสตรีผู้นั้นลง ศิษย์แห่งสำนักแมงมุมขาวชี้มือไปยังช่องเขานั้น แล้วกล่าวว่า "นี่คือทางเข้าสำนักแมงมุมขาวของเรา" หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้น ก็มองตามไปเห็นเพียงช่องเขาอันมีภายในลึกเพียงใดก็มิอาจประมาณได้ จึงคลายจุดให้สตรีนางนั้น แล้วกล่าวว่า "เช่นนั้นเจ้าจงนำทางไป" นางผู้นั้นเดินไปยังปากทางช่องเขานั้น แล้วเอื้อมมือผลักลงไปยังปุ่มหินที่ยื่นออกมา พลันก็บังเกิดเป็นกลไกผลักดันหินหลากหลาย ขนาดทอดเป็นบันไดต่ำลงไปยังเบื้องล่าง แล้วสตรีนางนั้นก็ผลุบหายเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว หมอวิปลาสเห็นเช่นนั้น ก็มิกล้าบุ่มบ่ามไล่ติดตาม มันเพ่งมองก้อนหินที่ทอดยาวลงไปยังเบื้องล่างแล้วทดลองทิ้งน้ำหนักตัวลงไป อย่างแผ่วเบา ครั้นเห็นว่ามิมีสิ่งใดเกิดขึ้นมันก็ก้าวเท้าย่างเข้าไปจนเต็มตัวทีละก้าว ยิ่งมันเดินลึกลงไปก็พบว่าก้อนหินเหล่านั้น เรียงรายทอดตัว ไหลลึกลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเท้าของมันก็สัมผัสกับพื้นเบื้องล่าง มันทอดสายตาสำรวจดูอาณาบริเวณโดยทั่วจากแสงแห่งคบเพลิงที่จุดเรียงรายเอาไว้ ทำให้มองเห็นว่า สถานที่แห่งนี้คือโพรงถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่ ทั้งภายในยังมีโพรงหินใหญ่น้อยสลับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะที่มันคิดจะก้าวเท้าเข้าไปสำรวจภายใน ก็ปรากฎเหล่าสตรีศิษย์แห่งสำนักแมงมุมขาวนับสิบนาง ถือกระบี่วิ่งออกมาจากทุกซอกหลืบ แล้วรายล้อมร่างของมันไว้ หมอวิปลาสจ้องมองไปยังเหล่าสตรีที่ถือกระบี่รายล้อมมัน แล้วยิ้มแย้มกล่าวออกมาว่า "พวกเจ้าทุกคน ล้วนแล้วแต่มีทรวดทรงอ้อนแอ้นน่าลูบคลำยิ่งนัก หากต้องการให้ข้าได้สัมผัสลูบไล้เรือนกายของพวกเจ้า ก็จงเข้ามา" เหล่าศิษย์สำนักแมงมุมขาว หันมามองหน้ากัน แล้วต่างแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นเกรี้ยวกราดพากันถาโถมฟาดฟันกระบี่เข้าใส่หมอวิปลาส โดยพร้อมเพรียง หมอวิปลาสเคลื่อนไหวเท้าพลิกพริ้ว หลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว สองมือของมันปัดป้องกระบี่ที่ฟาดฟันลงมาให้พ้นไปจากร่างของมัน แล้วถือโอกาสลูบคลำส่วนต่างๆที่เรือนกายของสตรีเหล่านั้น จนบังเกิดเสียงกรีดร้องอย่างวุนวายสลับกับเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงใจ ของหมอวิปลาส การต่อสู้ดำเนินไปอย่างชุลมุนจนในที่สุดก็ไม่มีศิษย์ของสำนักแมงมุมขาวนางใดกล้าเข้ามาพัวพันต่อสู้กับมันอีก พากันตั้งมั่นกระบี่รายล้อมตัวมันไว้เท่านั้น "ใยพวกเจ้าจึงพากันยืนนิ่งเช่นนี้ หากยังมิเข้ามา ข้าจะเป็นฝ่ายไปหาพวกเจ้าแล้วนะ" พลันหมอวิปลาส ก็จู่โจมเข้าใส่สตรีนางหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้ามัน แต่สตรีนางนั้นไม่มีสมาธิที่จะต่อสู้กับมัน ด้วยเกรงว่าจะถูกมันลวนลามอีก จึงปัดป่ายกระบี่อย่างไร้กระบวนท่า เพียงเพื่อปัดป้องมิให้มือของมันจู่โจมาถึงตัวนางเท่านั้น ขณะที่สตรีนางนั้นกำลังจวนตัว ก็บังเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้น "หยุดนะ...เจ้าคนลามก" จือจู มารแมงมุมขาว ปรากฎร่างออกมาจากเงามืด แล้วจ้องมองหมอวิปลาสด้วยสายตาอันเคืองแค้นชิงชัง หมอวิปลาส หยุดยืนนิ่งแล้วหันหน้าไปตามเสียงนั้น ครั้นได้พบมารแมงมุมขาว มันก็นิ่งค้างจ้องมองนางราวกับถูกสะกดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาว่า "แม่นาง เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก มิทราบว่าเจ้ามีนามว่าอะไร" มารแมงมุมขาว จ้องมองมันด้วยสายตาที่หยามเหยียดแล้วกล่าวออกมาว่า "บุคคลลามกโสมมเช่นเจ้า ไม่สมควรจะล่วงรู้นามของข้า จงนำคัมภีร์หมื่นพิษออกมา แล้วข้าจะปล่อยตัวหยางเพ่ยจือไป" แม้ถูกนางว่ากล่าวเช่นนั้น หมอวิปลาสก็ไม่มีท่าทีโกรธเคืองใดๆ กลับกล่าวออกมาว่า "แม่นาง......ใยเจ้าจึงด่วนตัดรอนข้า เพราะมีวาสนา เราสองจึงได้มีโอกาสมาพบกัน หากเจ้ามิยินยอมบอกต่อข้า ข้าก็จะขอเรียกเจ้าว่า นางผู้เป็นที่รักของข้า" ตั้งแต่มารแมงมุมขาวผาดโผนในยุทธ ไม่เคยมีชายใดกล้าต่อคำกับนางได้ถึงเพียงนี้ เนื่องด้วยนางจะมิยินยอมให้มันมีชีวิต อยู่อีกต่อไป มารแมงมุมขาวจ้องมองหมอวิปลาสด้วยสายตาฉายแววอำมหิต แล้วซัดอาวุธประจำตัวของนางออกไปอย่างรวดเร็ว มันคือเชือกซึ่งถักทอจากเส้นใยโปร่งแสง เชือกนั้นพุ่งเข้าพันธนาการร่างของหมอวิปลาสไว้อย่างแน่นหนาโดยที่มันมิทันได้รู้ตัว เนื่องด้วยมันมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แล้วจึงซัดเข็มพิษแมงมุมขาวอันร้ายกาจของนางติดตามออกมา เข็มพิษนี้มีความเล็กละเอียดนัก เมื่อถูกซัดออกไปจะพุ่งเข้าฝังลึกลงไปในร่างของเป้าหมายและแพร่พิษออกมาอย่างรวดเร็วจนคนผู้นั้นสิ้นใจตายในที่สุด วิธีที่นางใช้สยบศัตรูนี้เปรียบประดุจแมงมุมพิษสังหารเหยื่อของมัน นางจึงมีสมญานามว่า มารแมงมุมขาว หมอวิปลาสครั้นรู้ตัวว่าถูกพิษ ก็แสร้งทำเป็นล้มลงนอนแน่นิ่ง แล้วลอบโคจรพลังลมปราณสกัดกั้น ปิดจุดสำคัญต่างๆในร่างไว้ มารแมงมุมขาวเห็นเช่นนั้น ก็แสยะปากมองดูร่างของมันอย่างหยามเหยียด แล้วถอนเส้นใยออกจากร่างของมัน พร้อมกับออกคำสั่งให้เหล่าบริวาร ของนางค้นหาคัมภีร์ในตัวของมัน ครั้นบริวารเหล่านั้นช่วยกันค้นหาจนทั่วก็ไม่พบ นางจึงสำนึกได้ว่ามิน่าด่วนลงมือฆ่ามัน หากว่ามันยังไม่ตายก็อาจจะขู่มังคับให้มันไปนำคัมภีร์กลับมาให้จงได้ นางจึงเดินเข้าไปเพื่อจะตรวจสอบดูชีพจรของมันอีกครั้ง แต่แล้วนางก็ต้องถึงกับผงะถอยออกมา เมื่อเห็นหมอวิปลาสลืมตาขึ้นแล้วดีดร่างขึ้นหยัดยืน พร้อมกับร่ายรำท่าผลักดันลมปราณขับพิษออกมา จนบังเกิดเป็นโลหิตสีดำทะลักออกมาจากปากของมัน "เจ้า.....เจ้า...เหตุใดเจ้าจึง........" หมอวิปลาสแย้มยิ้มมองไปที่มารแมงมุมขาว แล้วกล่าวว่า "พิษเล็กน้อยของเจ้าเพียงเท่านี้ ทำอันตรายต่อข้าไม่ได้หรอก ฮ่า...ฮ่า......ฮ่า......." 


สิ้นคำหมอวิปลาสก็ปราดเข้าจู่โจมใส่มารแมงมุมขาวด้วยความรวดเร็ว มารแมงมุมขาวไม่ถนัดการต่อสู้ในระยะประชิด จึงพยายามดีดร่าง ออกห่างจากกระบวนท่าฝ่ามือที่หมอวิปลาสจู่โจมเข้ามา เพื่อหวังจะหาโอกาสใช้ใยโปร่งแสงของนางพันธนาการมันไว้อีกครั้ง แต่หมอวิปลาส รู้เท่าทัน ใช้ท่าเท้าเมฆาลอยล่องของมันตามติดประชิดตัวของนางมิยอมให้ห่างออกไป เมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งต่อสู้มารแมงมุมขาวก็ยิ่งลนลานปัดป้อง อย่างร้อนรน จนในที่สุดนางก็มิสามารถต้านรับกระบวนท่าของหมอวิปลาสเอาไว้ได้ นางเสียทีถูกสองมือของมันรวบรัดเรือนกายไว้อย่างแนบแน่น แล้วดอมดมที่สองแก้มของนางอย่างสนุกสนาน "ฮ่า....ฮ่า....ฮ่า.....กลิ่นกายของเจ้าช่างหอมหวลยิ่งนัก จนข้ามิอยากห่างจากตัวเจ้าแม้ลมหายใจเดียว" มารแมงมุมขาวทั้งตื่นตระหนก ทั้งเจ็บแค้นและอับอาย ตั้งแต่นางเติบโตมาผ่านวัยสาวจนล่วงเข้าสู่วัยสามสิบปี นางไม่เคยข้องแวะกับชายใด และมิมีผู้ใดกล้าที่จะมาเกี้ยวพาราสีแม้แต่เพียงชายตา แต่มันผู้นี้กลับทั้งกอดรัด ทั้งดอมดมพวงแก้มของนางอยู่ไปมา จนนางร้องขอให้หยุด ม้นก็มิยินยอม กลับลวนลามนางหนักมือขึ้นอีก "ปล่อยข้านะ...เจ้าคนชั่วช้าลามก.........ปล่อย...อย่า....อย่า............ปล่อยข้านะ......." ยิ่งนางดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของมัน มันก็ยิ่งกระชับวงแขนของมันจนแนบแน่นยิ่งขึ้น ซ้ำยังเริ่มซุกไซ้ใบหน้าของมันดอมดม ที่บริเวณต้นคอของนาง มารแมงมุมขาวคลั่งแค้นจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา นางพยายามเร่งคิดหาหนทางที่จะหลุดพ้นจากสภาวะอันล่อแหลม เช่นนี้อย่างเร่งด่วน จนนางคิดได้ว่า นางมีหยางเพ่ยจือเป็นตัวประกัน จึงร้องสั่งบริวารให้ไปนำตัวหยางเพ่ยจือออกมา พร้อมกับกล่าวต่อหมอวิปลาสขึ้นว่า "จงหยุดการกระทำอันลามกของเจ้า ณ บัดนี้ มิเช่นนั้นข้าจะสั่งให้บริวารของข้า สังหารหยางเพ่ยจือเสีย" สิ้นคำ บริวารของมารแมงมุมขาวก็นำตัวหยางเพ่ยจือซึ่งถูกพันธนาการไว้ออกมา โดยมีกระบี่จ่อไว้ที่ลำคอของนาง หยางเพ่ยจือ พอเห็นหมอวิปลาส ก็ตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก ส่งเสียงร้องเรียกออกมาด้วยความยินดี "ท่านหมอเมี่ยว..........." หมอวิปลาสหันมองไปตามเสียงเรียกนั้น พอเห็นว่าเป็นหยางเพ่ยจือก็บังเกิดความยินดียิ่งนักที่เห็นนางยังมีชีวิต พลางลืมตัวคลายวงแขนที่รัดเรือนกายมารแมงมุมขาวออก มารแมงมุมขาวเห็นเป็นโอกาสก็ชิงดีดร่างออกมา แล้วซัดเส้นใยของนาง เข้ารัดร่างของหมอวิปลาสไว้อย่างแน่นหนา หมอวิปลาสครั้นพอรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว เสันใยเหล่านั้นรัดร่างของมันจนแนบแน่น แม้ว่ามันจะพยายามเบ่งพลังวัตรทำลายมันออก แต่เสันใยเหล่านั้นมีความเหนียวยิ่งนักจนมันมิอาจทำลายลงได้ดังที่คาดคิด มารแมงมุมขาวปราดเข้าไป แล้วใช้ฝ่ามือฟาดไปที่ใบหน้าของหมอวิปลาสอย่างเคืองแค้นอยู่หลายครั้ง แล้วจึงหันกลับไป กล่าวกับหยางเพ่ยจือว่า "นี่นะหรือคนรักของท่าน ศิษย์พี่ มันผู้นี้คือบุรุษผู้ชั่วช้า มากราคะ ข้าไม่คาดคิดเลยว่าท่านจะใฝ่ต่ำหลงรักบุคคลเช่นนี้ได้" หยางเพ่ยจือได้ยินเช่นนั้นก็โกรธ กล่าวตอบออกมาว่า "สตรีเช่นเจ้ามีสิ่งใดดี จึงอาจหาญมาตัดสินความรักของผู้อื่น คนรักของข้าเสี่ยงชีวิตเข้ามาเพื่อช่วยเหลือข้าเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกภูมิใจต่อความรัก ที่มันมีต่อข้าอย่างที่สุดแล้ว" มารแมงมุมขาวครั้นได้ยินหยางเพ่ยจือตอบโต้นางเช่นนั้น ก็คิดหาวิธีทำให้นางเสียใจ จึงกล่าวว่า "เช่นนั้น ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านประจักษ์ ว่าบรุษผู้นี้มันมีความจริงใจต่อท่านหรือไม่" สิ้นคำนางก็หันไปหาหมอวิปลาสใช้มือบีบปากของมันให้อ้าออก แล้วล้วงเอายาเม็ดเผยใจยัดใส่ปากของมัน พอเม็ดยาล่วงเข้าสู่ปาก หมอวิปลาสก็คิดจะลอบเดินลมปราณสกัดจุดในร่างเช่นเดิมอีก แต่ครั้งนี้มารแมงมุมขาวรู้เท่าทัน นางพลันฟาดฝ่ามือใส่ทรวงอกมันหนึ่งฝ่ามือ ทำให้การโคจรลมปราณของมันหยุดชะงักส่งผลให้ฤทธิ์ของหญ้าเผยใจแพร่ผ่านเข้าสู่สมอง ของมันทันที แล้วมารแมงมุมขาว ก็เริ่มตั้งคำถามต่อมันว่า "เจ้ามีนางในดวงใจหรือไม่" ปากของหมอวิปลาสพูดตอบออกมาโดยที่มันมิสามารถควบคุมได้ "มี" "นางในดวงใจของเจ้ามีจำนวนเท่าใด" หมอวิปลาสพอได้ยินคำถามนี้ก็มีสีหน้าตื่นตระหนก แต่ก็มิอาจควบคุมคำพูดของตนเองได้ "สี่คน" สิ้นคำของหมอวิปลาส มารแมงมุมขาวก็หันไปหา หยางเพ่ยจือแล้วเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน พลางกล่าวขึ้นว่า "บุรุษผู้นี้น่าชังยิ่งนัก ท่านต้องการทราบหรือไม่ว่ามีท่านอยู่ในสี่คนนั้นหรือไม่ ฮ่า....ฮ่า.....ฮ่า...." แล้วนางก็เอ่ยถามต่อหมอวิปลาสขึ้นอีกว่า "นางในดวงใจของเจ้ามีใครบ้าง" หมอวิปลาสก้มหน้าลง มิกล้าสบตาต่อหยางเพ่ยจือ แต่ปากของมันได้ส่งเสียงออกมาตามความเป็นจริงว่า "ลิ่มบ้อฮวย เยี่ยกุ้ยอิง หยางเพ่ยจือ แล้วก็ตัวเจ้า" มารแมงมุมขาวหันกลับมา ตวาดเสียงใส่มันอย่างแค้นเคืองว่า "อย่าได้บังอาจรวมข้าเข้าไปด้วยเป็นอันขาด บุรุษน่ารังเกียจเช่นเจ้า มีเพียงสตรีนัยน์ตามืดบอดเท่านั้น ที่หลงรักเจ้า" ระหว่างนั้น หมอวิปลาสก็ครุ่นคิดว่า หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ หยางเพ่ยจือคงต้องพบกับความเสียใจต่อความลับที่มันยังมิได้เปิดเผยต่อนางเป็นแน่ แต่หากว่าใช้วิธีชิงกล่าวทุกสิ่งออกมาด้วยความเป็นจริง ก่อนที่ฤทธิ์ของหญ้าเผยใจจะผลักดันให้ปากของมันพูดออกมา ก็น่าที่ช่วยให้นางเสียใจน้อยลง ขณะที่มันกำลังครุ่นคิดอยู่ มารแมงมุมขาวก็ตั้งคำถามขึ้นอีก โดยคิดที่จะให้หยางเพ่ยจือเสียใจเพิ่มขึ้นว่า "ระหว่าง ลิ่มบ้อฮวย เยี่ยกุ้ยอิง และ หยางเพ่ยจือ เจ้ามีความรักให้ผู้ใดมากที่สุด" หมอวิปลาสใช้วิธีเร่งรีบกล่าวออกมาแทนที่จะพยายามยับยั้งไว้เหมือนครั้งก่อนๆ ว่า "ทั้งสามนางล้วนเปรียบได้ดั่งดวงใจของข้า ข้ายินดีที่จะตายแทนพวกนางได้ทุกคน รวมทั้งหยางเพ่ยจือผู้นี้ ข้าก็มีความรักต่อนางด้วยใจจริง แม้หากว่าต้องการชีวิตข้าเพื่อแลกกับความปลอดภัยของนางข้าก็ยินดี" หยางเพ่ยจือได้ยินถ้อยคำของหมอวิปลาสอย่างกระจ่างชัด นางบังเกิดความปลาบปลื้ม ซาบซึ้งใจจนหลั่งน้ำตาไหลออกมา มารแมงมุมขาวเห็นเหตุการณ์กลับผันแปรไปเช่นนั้น ก็แค้นใจนัก จึงคิดว่า บุรุษเลวทรามผู้นี้มักมากในราคะ เราควรทดลองเอา ราคะเข้าล่อมันจึงกล่าวว่า "เจ้าเห็นว่าข้าเป็นสตรีที่งดงามหรือไม่" หมอวิปลาสก็กล่าวตอบนางไปในทันที "เจ้างดงามถูกใจข้ายิ่งนัก" "เช่นนั้น ข้าจะยินยอมเป็นของเจ้า หากว่าเจ้าบอกต่อหยางเพ่ยจือว่า เจ้าได้หมดรักต่อนางแล้ว เจ้าจะยินยอมหรือไม่" หมอวิปลาสเร่งรีบกล่าวออกมาในทันทีว่า "หยางเพ่ยจือผู้นี้ นางได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้ามาช้านาน ถึงแม้นว่าเจ้าจะมีความงามเช่นไรข้าก็จะไม่เลือกเจ้า แต่หากว่า ข้าสามารถหลุดรอดออกมาได้ ข้าจะ ดอมดมเจ้าไปทั้งตัว แล้วบดบี้ทรวงอกของเจ้า โลมเลียเนินสวาทของเจ้า จนเจ้าต้องกลับกลายเป็นทาสสวาทของข้า ฮ่า....ฮ่า......ฮ่า.....ฮ่า...." มารแมงมุมขาวทั้งเจ็บแค้น ทั้งอับอาย ยิ่งนางพยายามกระทำให้หยางเพ่ยจือเสียใจ แต่กลับกลายเป็นนางได้ช่วยคนทั้งคู่ทราบถึงความรักที่มีต่อกันลึกซึ้งเข้าไปอีก ทั้งยังต้องอับอายที่ถูกหมอวิปลาสลวนลามนางด้วยวาจา จึงออกคำสั่งให้บริวารนำตัวมันไปคุมขังไว้เพื่อหาวิธีบีบบังคับให้มันติดตามนำเอาคัมภีร์หมื่นพิษมามอบต่อนาง ------- เฟยอี้รู้สึกตัวตื่นขึ้น เปิดเปลือกตามองดูสภาวะรอบตนเองก็พบว่า มีใบหน้าของสตรีในดวงใจของมันทั้งสิบสามนาง กำลังจ้องมองดูมัน พลางร้องเรียกชื่อของมันด้วยความตื่นเต้น มันจึงยันกายลุกขึ้นนั่ง ที่เบื้องหน้าของมันคือธิดาเทพ นางแย้มยิ้มให้แก่มันแล้วถามขึ้นว่า "อาการของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็ทดลองโคจรลมปราณในร่าง ก็พบว่ามีแต่ความโล่งโปร่งสบายตลอดเรือนร่างไม่มีสิ่งใดติดขัด ทั้งยังรับรู้ถึงขุมพลังวัตรที่เพิ่มพูนขึ้น มันจึงกล่าวตอบต่อนางว่า "ข้ารู้สึกสดชื่นสบายตัวยิ่งนัก ยิ่งเห็นพวกเจ้าอยู่เคียงข้างข้าเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งมีแต่ความร่าเริงเป็นสุข" ธิดาเทพ แสยะปาก แล้วกล่าวต่อมันอย่างแง่งอนว่า "เฮอะ....เจ้าคนมากรัก...เจ้ายังกล้ากล่าวคำเช่นนี้ออกมาอีกรึ" ภูติแพรขาวได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวออกมาบ้างว่า "ใช่แล้ว....ข้าต้องการทุบตีเจ้าให้สาสมกับความมากรักของเจ้า" สิ้นคำนางก็ปราดเข้าทุบตี เฟยอี้ด้วยอาการแง่งอน จากนั้นทั้งสิบสามนางต่างก็กลุ้มรุมทุบตีมันอย่างชุลมุน จนมันต้องแสร้งร่ำร้องออกมา ด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับกลิ้งร่างของมันอยู่ไปมา ทั้งสิบสามนางเห็นเช่นนั้น ก็พากันหยุดมือ จ้องมองดูมันด้วยอาการตกใจ แล้วเหม่ยเยี่ยก็สอดแขนของนางเข้าประคองร่างของมันขึ้น พลางร้องเรียกชื่อมันด้วยความเป็นห่วง เฟยอี้หยุดร่ำร้องแล้วลืมตาขึ้นดูใบหน้าของพวกนางที่พากันรุมล้อมมองดูมัน แล้วพลันรู้สึกเป็นสุขใจยิ่งนักที่เห็นทั้งสิบสามนางอยู่เคียงข้างมันเช่นนี้ มันแย้มยิ้ม แล้วตรงเข้าหยอกเย้า กอดรัด จนพวกนางพากันวิ่งหนีมัน มันก็วิ่งไล่กอดรัดพวกนางอย่างสนุกสนาน บรรยากาศภายในถ้ำยามนี้ จึงมีแต่ ความร่าเริง สนุกสนาน หวานชื่นยิ่งนัก ห้วงเวลาแห่งความสุขนั้นดำนินไปอย่างเนิ่นนาน จนองค์หญิงฯพลันได้คิดถึงหนทางที่จะออกไปจากถ้ำแห่งนี้ นางปลีกตัวออกมาแล้ว หยุดยืนดูบริเวณปากถ้ำ ที่มีก้อนหินใหญ่ปิดทับอยู่จากฝีมือของหมอวิปลาส แล้วครุ่นคิดว่าก้อนหินใหญ่นี้หากอยู่ภายนอก ผู้มีพลังยุทธก็อาจจะสามารถ ผลักดันมันให้กลิ้งหลุดออกไปได้ แต่หากเป็นภายในเช่นที่นางกำลังยืนอยู่ในเวลานี้ คงมีเพียงหนทางเดียวคือต้องทำลายหินใหญ่นี้ให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ จึงจะออกไปได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ส่งเสียงร้องเรียกเฟยอี้ให้ติดตามนางมาดู เฟยอี้ครั้นได้ยินเสียงขององค์หญิงฯ ร้องเรียกชื่อของตนเช่นนั้นก็ติดตามนางมาหยุดยืนดู พร้อมกับอีกสิบสองนาง แล้วองค์หญิงฯก็กล่าวขึ้นว่า "เฟยอี้....เจ้าจงดูก้อนหินใหญ่ที่ปากถ้ำ มันถูกกลิ้งมาปิดทับไว้อย่างมั่นคงเช่นนี้ แล้วเราจะมีหนทางใดออกจากที่แห่งนี้เล่า" เฟยอี้พิจารณาตามที่นางชี้ให้ดูก็เห็นจริง แล้วจึงพากันออกแรงผลักดันไปที่ก้อนหินใหญ่นั้น แต่ก็หาบังเกิดผลอันใดไม่ จนทั้งหมดสิ้นเรี่ยวแรง พากันนั่งพักอย่างหอบเหนื่อยอยู่ ณ ที่นั้น เฟยอี้นั่งพิจารณาก้อนหินใหญ่นั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ข้าจะทดลองใช้ ปราณฟ้าดิน - หยินหยาง ผลักดันก้อนหินใหญ่นี้ดู" องค์หญิงฯเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้ว่า เมื่อใดที่เฟยอี้ใช้ปราณฟ้าดิน-หยินหยาง มันมักจะมีอาการหยางในร่างกำเริบ จึงร้องทักท้วงขึ้นว่า "เฟยอี้...เจ้าไม่สมควรใช้วิชานี้อีก หากหยางในตัวเจ้ากำเริบขึ้นอีกครั้ง ก็มิแน่ว่าเจ้าจะกลับมามีชีวิตรอดได้อีกครั้ง" เฟยอี้จึงตอบนางไปว่า "แต่ครั้งนี้ ข้ามีความมั่นใจ ข้ารู้สึกว่า ยามที่ข้าโคจรลมปราณในร่าง มันสามารถกระทำได้อย่างปลอดโปร่ง ทั้งยังรู้สึกถึงความสมดุลย์ แห่งพลังทั้งสองสายทีไหลเวียนแผ่ซ่านไปทั่วร่างของข้าโดยมิมีอาการติดขัดใดๆทั้งสิ้น ขอให้ข้าได้ทดลองดูเถอะ องค์หญิง" องค์หญิงฯเห็นสีหน้าของมันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ก็พยักหน้าแล้วถอยห่างออกมา นางอีกสิบสองคนเห็นเช่นนั้นก็กระทำตาม แล้วพากันยืนจ้องมองมาที่เฟยอี้อย่างสงบ เฟยอี้นิ่งสงบกำหนดจิตรวมศูนย์ไปที่จุดตังชั้ง แล้วเริ่มโคจรผลักดันลมปราณให้เคลื่อนผ่านจากขุมพลังแฝงในร่างของมันออกมา พลันปรากฎเป็นสายพลังพวยพุ่งตามติดออกมาถึงสองสาย สายหนึ่งคือหยิน สายหนึ่งคือหยาง เคลื่อนคล้อยสอดประสานกัน เป็นวงล้อแห่งพลังหยิน-หยางแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย จนบังเกิดเป็นคลื่นพลังมหาศาลแผ่ซ่านเป็นรัศมีออกมาจากร่างของมัน เฟยอี้ยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นขนานกับพื้น แล้วถ่ายเทพลังสายพลังหยินมาไว้ที่ฝ่ามือซ้าย พลังหยางไว้ที่ฝ่ามือขวา แล้วร่ายรำกระบวนท่า หยินหยาง-ฟ้าดิน รวมเป็นหนึ่ง แล้วฟาดฝ่าทั้งสองออกไปที่เบื้องหน้า ทันใดกลางฝ่ามือทั้งสองของเฟยอี้ก็เกิดสายพลังแห่งหยิน และสายพลังแห่งหยาง พวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือทั้งสองแล้วรวมตัว สอดประสานเป็นวงล้อพลังหยินหยางอันยิ่งใหญ่ พุ่งตรงไปยังก้อนหินใหญ่นั้นอย่างรวดเร็ว แล้วบังเกิดเป็นเสียงดังกัมปนาทสั่นสะเทือน ไปทั้งถ้ำ ก้อนหินใหญ่นั้นแตกระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระเด็นล่องลอยไปในอากาศ ท่ามกลางฝุ่นผงตลบอบอวลไปทั่ว ทั้งสิบสามนางยืนนิ่งตื่นตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่ต่อหน้าอย่างไม่เชื่อในสายตาว่า เฟยอี้จะกลับกลายเป็นผู้มีพลังวัตรที่สูงส่งถึงเพียงนี้ แล้วจึงพร้อมใจกันวิ่งเข้ามาหาเฟยอี้เพื่อตรวจดูอาการของมัน ครั้นเห็นเฟยอี้มีสีหน้าปลอดโปร่งไร้อาการผิดปกติใดๆ พวกนางก็พากัน แสดงความดีใจ แล้วชักชวนกันออกไปสู่ภายนอกถ้ำ ข้างฝ่าย บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทิกุ้ยชิ่ว หลวงจีนหลี่เต๋อ ลิ่มบ้อฮวย และ เยี่ยกุ้ยอิง ที่กำลังนั่งรอคอยความเคลื่อนไหวของเฟยอี้ และสิบสามนาง ภายในถ้ำ ครั้นได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาจากทิศทางอันเป็นที่ตั้งของถ้ำนั้น ก็พากันลุกขึ้นยืนแล้วมองดูหน้ากัน ก่อนที่จะเร่งรีบวิ่ง ออกไปดูที่หน้าถ้ำนั้น เฟยอี้และสิบสามนางเดินออกมาจากถ้ำ พอพบหน้ากับเหล่าอาจารย์ และผู้อาวุโสเหล่านั้นก็พากันร้องเรียกและวิ่งเข้าไปหาอย่างดีใจ ทั้งหมดต่างอยู่ในบรรยากาศที่มีแต่ความสุขและความยินดี ที่เรื่องราวร้ายๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว ต่างพากันซักถามถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น จนเป็นที่พอใจแล้ว เฟยอี้ก็สอดส่ายสายตามองหาหมอวิปลาสผู้เป็นอาจารย์ ครั้นไม่เห็นจึงเอ่ยปากไถ่ถามต่อลิ่มบ้อฮวยว่า "ท่านเจ้าสำนักลิ่ม ท่านพบเห็นอาจารย์ของข้าหรือไม่" ลิ่มบ้อฮวยจึงกล่าวตอบมันไปว่า "อาจารย์เจ้าแจ้งว่าจะไปหาสมุนไพรบำรุงกำลังมาเตรียมไว้ให้เจ้า แต่ก็กลับหายไปหนึ่งวันเต็มแล้วก็ยังมิกลับมา" ธิดาเทพจึงกล่าวขึ้นว่า "อาจารย์ของเจ้าไปมาไร้ร่องรอย ทั้งกำลังฝีมือก็สูงส่ง เจ้าอย่าได้เป็นกังวลเลย" บ้อเมี่ยวเล่านั้งครั้นเห็นใบหน้าของธิดาเทพ ก็ระลึกเรื่องที่วังเบญจธาตุถูกเว่ยฉิงคังบุกจู่โจมจนแตกพ่ายไปหมดสิ้นแล้วได้ ก็อดคิดเวทนาต่อนางไว้ไม่ได้ จึงกล่าวขึ้นว่า "ธิดาเทพ ข้ามีเรื่องหนึ่งที่จะแจ้งต่อเจ้า จงเตรียมใจรับฟังไว้ให้ดี" พอสิ้นคำของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทุกคนที่ทราบเรื่องแล้วก็พากันก้มหน้าลงนิ่ง ส่วนเฟยอี้ ธิดาเทพ และอีกสิบสองนาง ต่างก็จ้องมองบ้อเมี่ยวเล่านั้งอย่างตั้งใจรับฟัง แล้วบ้อเมี่ยวเล่านั้งก็กล่าวขึ้นว่า "ถึงตอนนี้ วังเบญจธาตุของเจ้าได้แตกสลายและถูกยึดครองไว้โดย เว่ยฉิงคัง ไว้หมดสิ้นแล้ว มันได้ฆ่าฟันเหล่าชาวลัทธิเบญจธาตุ จนแทบไม่เหลือ แม้แต่กระทั่งบิดาของเจ้าก็ถูกมันจับไว้เป็นเชลยโดยมิรู้ชะตากรรม" ธิดาเทพได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งงัน แล้วกล่าวว่า "ท่านผู้เฒ่า ท่านมิได้กล่าวออกมาโดยคิดกลั่นแกล้งข้าใช่หรือไม่" บ้อเมี่ยวเล่านั้งทอดสายตาขึ้นจ้องมองนางด้วยความเมตตาแล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ พลันน้ำตาของธิดาเทพก็หลั่งไหลออกมา แล้ววิ่งออกไปจากที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็เร่งติดตาม พลางร้องเรียกขึ้นโดยฉับพลัน "ธิดาเทพ....เจ้าจะไปที่ใด โปรดรอข้าก่อน......ธิดาเทพ..." ธิดาเทพหยุดยืนนิ่ง รอจนเฟยอี้และคนอื่นๆติดตามมาถึงแล้วกล่าวว่า "บิดาของข้า ได้ทำความผิดต่อพวกท่านไว้เป็นอันมาก แต่จะอย่างไรท่านก็คือบิดาของข้า ข้าแม้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะไปช่วยบิดาของข้าให้จงได้" เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นว่า "ข้าจะไปด้วย ไม่ว่าเจ้าลัทธิจะเคยทำสิ่งใดไว้ แต่หากว่าเป็นบิดาของเจ้า ข้าก็จะติดตามไปช่วยเหลือออกมาให้จงได้" ธิดาเทพ สบตากับเฟยอี้ ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งต่อความรักที่มันมีต่อนาง แล้วทุกคนในที่นั้น ก็กล่าวขึ้นพร้อมกันว่า "ใช่ พวกเราจะติดตามไปช่วยเหลือบิดาของเจ้าด้วยเช่นกัน" ธิดาเทพ มีน้ำตาหลั่งไหลออกมาด้วยความตื้นตัน คนเหล่านี้แม้บางคนจะพึ่งพบกันได้ไม่นาน แต่กลับมีมิตรภาพ ต่อนางด้วยความจริงใจ โดยไม่คิดรังเกียจว่าบิดาของนางเคยกระทำสิ่งมิดีอันใดไว้ แล้วทุกคนในที่นั้นก็พากันออกเดินทางมุ่งไปยังวังเบญจธาตุในทันที

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น