กามลิขิต ชีวิตหฤหรรษ ตอนที่ 9
โดย saradio
พอหลังจากที่เราตกลงไปทะเลกันอาทิตย์หน้าแล้วทั้งกลางและแอนต่างตื้นเต้นกระดี๊กระด๊ากันอย่างมากต่างก็ไปซื้อชุดว่ายน้ำเล่นน้ำทะเลกันคนละชุด 2 ชุด แต่ละชุดก็แสนจะหวือหวามองแล้วน้ำลายจะไหล พอใส่แล้วอยากจะล่อทั้งคู่ค่าชุดจริงๆก็ติดที่ว่าพวกเธออาทิตย์นี้ต้องทำงานเคลียร์คิวที่จองพวกเธอเอาไว้ให้หมดขืนผมล่อไป 2สาวหมดแรงก็ไม่ต้องไปรับแขกกันพอดี
แล้วในที่สุดก็ถึงวันที่เราจะไปทะเลกันทุกคนดูเบิกบานและตื้นเต้นกันมาก โดยเฉพาะ สองสาว วุ่นวายแพ็กเป้กระเป๋ากันแต่เช้าพอเสร็จแล้วก็พากันออกจากบ้านไปสถานีรถไฟ ตอนนั้นเรายังไม่ได้ซื้อรถยนต์เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นในชีวิตประจำวันของพวกเราซึ่งใช้มอเตอร์ไซด์สะดวกกว่า ทีนี้พอจะไปเที่ยวที่ไกลๆก็ต้องอาศัยรถทัวร์ รถไฟรถประจำทางนี่แหละ
ก็นั่งจากข่อนแก่นเข้ากรุงเทพต่อจากกรุงเทพลงใต้เพื่อจะไป
" เมื่อเลิกงานเดินเหงา
มีเงาเป็นเพื่อนเข้าซอย
ผู้สาวบ้านไกลใจลอย
บ่มีคนคอยเคียงเงา
อยู่ในเมืองใหญ่
อุ่นกายแต่หัวใจหนาว
วันๆมีหลายเรื่องราว
รุมเร้าให้คอยหวั่นไหว"
นางร้องเพลงนี้ เหมือนนึกถึงเรื่องราวของตัวเองหน้าตาเธออินมาก
"ปัญหาหลายอย่าง
สู้ตามลำพังบ่ไหว
พรุ่งนี้สิเดินอย่างไร
ถ้าใจบ่มีคนเคียง"
พอถึงท่อนที่ว่า
"อยากมีพี่เลี้ยง
เคียงข้างบนทางเปื้อนฝุ่น
มอบใจอุ่นๆ
กันหนาว กันท้อพอเพียง
ยามเจ็บเห็นหน้า
ยามมีปัญหายืนเคียง
ยามเหงาได้โทรฟังเสียง
หล่อเลี้ยงหัวใจทุกคราว"
ท่อนนี้เธอร้องและหันไปประสานสายตากับกิตด้วยสายตาที่หวานซึ้งเหมือนจะบอกความนัยให้กันและกัน ถ้าคนอื่นมองดูคู่นี้ก็จะรู้สึกว่าหวานน่ารักและน่าอิจฉาแต่ผมกับรู้สึกหม่นหมอง จนอยากร้องบอกฟ้าว่า กูมานั่งทำเหี้ยอะไรที่นี่วะต้องมาทนดูภาพบาดตาบาดใจ
ตอนนี้นั้นไม่รู้ว่ากลางเห็นอาการผมและนึกมันไส้หรือป่าวเธอกดเลือกเพลงเอง และขอร้องต่อจากนาง พออินโทเพลงขึ้น แอนถึงกับหัวเราะ เหมือนรู้ว่าทำไมกลางถึงขอเพลงนี้เธอรีบขยับตัวมาเบียดนั่งด้วยกับผมและกลางเพื่อช่วยร้องทันที มันชื่อเพลงเมื่อไหร่จะพอ ของ เดือนเพ็ญ อำนวยพร
"ไม่ใช้ไม่รู้ว่าเธอเจ้าชู้กับใครไปเรื่อยไม่ใช่ไม่เหนื่อยกับการรอคอยให้เธอเห็นใจ
แต่ที่ทำเฉยเฉย ไม่เอ่ยไม่พูดอะไร เพราถึงยังไงเธอก็ลื่นก็ไหลอยู่ดี
ร้องให้ก็แล้วตามหึงก็แล้วเธอยังไปต่อ ไม่เคยจะพอเหมือนจุดอิ่มตัวของเธอไม่มี
จึงได้แต่ภาวนาให้เธอเห็นค่าความดี ที่ไม่ยอมหนีเพราะยังมีหวังในใจ"
พอถึงท่อนสร้อยพวกเธอประสานเสียงร้องอย่างสนุกสนาน และมองผมบอกความหมายเป็นนัยๆ เหมือนตัดพ้อ
"เมื่อเธอพอ.... ฉันจะรออยู่ตรงนี้ลองให้เต็มที่.... ไปมีคนโน้นคนนี้ตามสบาย
เมื่อเธอพอ.... ฉันจะรออยู่ตรงนี้ เอาให้เต็มที่.... รับรองไม่มีฉันไปกวนใจ
แต่หากมีสักนิด... ที่เธอฉุกคิดขึ้นได้ ให้รู้ว่าหัวใจ ฉันรอ แบบคลอน้ำตา
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเธอเจ้าชู้ลับหลังอยู่เรื่อยไม่ใช่ไม่เหนื่อยแต่เพราะรักเธอจึงยอมเรื่อยมา
หากเธอจะใจร้าย หลายใจไม่ยอมเลิกรา ฉันก็ไม่ว่าเมื่อเธอพอ จะรออยู่ตรงนี้"
ความจริงผมควรจะโกรธที่พวกเธอร้องแควะในภาวะที่ผมอารมณ์แบบนี้ แต่ถ้าฟังดีๆ เหมือนกับพวกเธอให้คติปลอมใจผมมากกว่าว่า คนที่ควรรัก ก็มีอยู่แล้วตั้ง 2 คน แล้วจะมัวไปวิ่งตามคนอื่นอยู่ทำไมเมื่อรู้ว่ารักไม่ได้ผมจึงยิ้มขึ้นมา และแกล้งทำท่าขบเขี้ยวใส่
พอเพลงจบ กิต ก็แซวว่า
"โห น้องร้องกันอย่างกับมีแฟนเจ้าชู้เลยนะครับ"
"ตัวพ่อเลยค่ะ ขนาดอยู่กับนู๋ยังคิดถึงคนอื่นเลยจริงมั๊ยกลาง"
แอนบอกอย่างที่เล่นทีจริงและชวนกลางเข้ามาเออออด้วย จนคนอื่นหัวเราะที่แอนพูดรับอย่างตรงไปตรงมา
บรรยากาศในรถเริ่มสนุกขึ้น และผมเองก็เลิกที่จะเศร้า ผมคิดในใจว่าถ้าเธอมีแฟนที่ดีผมควรจะดีใจไปกับเธอด้วย และอย่าทำตัวไปทำลายบรรยากาศคนอื่นเลยก็เริ่มที่จะสนุกสนานตามน้ำไป ทำตัวเป็นกระเทยตลกคอยยิงมุกเรียกเสียงฮา ขนาดกลางกับแอนยังไม่เชื่อสายตาว่าผมจะตีบทแตกได้ขนาดนี้
ตอนนั้นก้อยก็รู้สึกชอบผมเพราะเห็นผมเป็นกระเทยตลกดี ก็ชอบมาแหย่ชอบมาคุยก้อยยังเหมือนเดิมที่เป็นเด็กน่ารักช่างเจรจา เธอพูดกับผมได้ไม่หยุดจนคนอื่นเริ่มทยอยหลับไปหมดแล้ว เธอก็ยังคุยอยู่ จนง่วงทนไม่ไหวนั่นแหละถึงได้ยอมเงียบหลับไป
รถตู้มาถึงกระบี่ ตี 2 กว่ากิตพาไปพักรีสอร์ทแห่งหนึ่ง โดยจองที่พักลักษณะเป็นบ้านมีห้อง3ห้อง ที่พักสวยมากดูหรูหราไฮโซแถมติดชายทะเล ผม กลางและแอน มองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจแบบไม่เคยเห็นมาก่อนและทำตัวกันไม่ค่อยถูกรู้สึกประหม่าเหมือนพวกบ้านนอกเข้ากรุงแต่ดูนางและก้อยจะวางตัวได้อย่างกลมกลืนไปกับความหรูหรามีระดับแบบนี้ไปแล้ว
พอถึงที่พักพวกเราก็นอนกันเลย 3พี่น้องขอนอนด้วยกันห้องหนึ่งผมกับแอนนอนด้วยกันอีกห้อง ส่วนกิตก็นอนคนเดียวอีกห้องหนึ่ง แต่คืนนั้นผมนอนไม่หลับผมออกไปนั่งตรงระเบียงหน้าบ้าน เพื่อให้สายลมทะเลและเสียงคลื่นปลอบใจผม
ตอนนั้นกลับได้ยินเสียง ห้องของนางกลางและก้อย มีคนเปิดประตูออกมาเบาๆ ตอนแรกผมนึกว่ากลางแอบออกมาหาผมแต่กลับเป็นนางที่เปิดประตูออกมาเบาๆ แล้วไปเปิดประตูห้องของกิตที่ไม่ได้ล็อกเหมือนเปิดรอไว้อยู่แล้ว วินาทีที่เธอเข้าห้องไปผมก็เดาได้แล้วว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น แม้ใจหนึ่งผมไม่อยากเห็นและไม่อยากรับรู้แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากให้เห็นกับตาผมเคลื่อนตัวไปตรงข้างหน้าต่างห้องกิตอย่างไม่อาจยับยั้งชั่งใจและแอบมองผ่านหน้าต่างกระจกเลื่อนบานใหญ่ที่ไม่ได้เอาผ้าม่านลงเหมือนมองดูจอทีวีจอใหญ่ ที่เห็นความเคลื่อนไหวภายในทั้งหมด
ตอนนั้นกิตนุ่งผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวเหมือนเตรียมรออยู่แล้วและดึงนางเข้ามาหอมและกอดอย่างคนกระหายความคิดถึงโดยนางยิ้มเขินและหัวเราะจั๊กกระจี้
"พี่กิต นี่ละก็ รอพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ วันนี้ขับรถทั้งวันไม่เหนื่อยหรือไง"
"เหนื่อยแค่ไหน พี่ก็แคร์หรอกจ๊ะขอให้มีโอกาสอยู่กับนางก็พอ"
ไอ้หมอนี่ปากหวานเข้าไส้มันพูดไปพร้อมกับถอดเสื้อผ้าของนางออกทีละชิ้นโดยที่นางไม่ได้อิดออดหรือขัดขืนมันแม้แต่น้อย เพียงครู่เดียวนางก็ล่อนจ้อนไม่มีอะไรติดตัวผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกโหวงเหวงมือเท้าเย็นเฉียบเหมือนคนเป็นลมแต่ก็พยายามคิดว่า เขาทั้งคู่เป็นแฟนกัน ไอ้การทำอย่างนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องผิด
นางถูกอุ้มขึ้นบนที่นอนถูกจูบซุกไซด์ไปทุกสัดสวน ผิวขาวเนียนที่ได้รับการดูแลอย่างดาราถูกมันโลมเลียจนไม่เหลือที่ว่างสักตารางนิ้วนางแอ่นตัวซีดส์ปากด้วยความเสียวซ่าน จนปทุมถันคู่งามชูชันโดดเด่นแล้วปทุมถันคู่นั้นก็โดนลิ้นละเลงเล่นจนหนำปากไอ้กิต ก่อนที่มันจะลงไปเบิร์นหีนางอย่างอร่อยปาก
นางซีดส์ปากส่ายสะโพกรับลิ้นไอ้กิตด้วยความสุขภาพที่ผมเห็นมันทำให้ผมคิดได้ว่าเธอไม่ใช่สาวบ้านนาคนเดิมที่รอคอยผมอีกต่อไป และเธอเลือกชีวิตใหม่ที่ไม่มีผมไปตั้งนานแล้วอาจจะก่อนที่ผมจะเจอกับกลางก็ได้
ตอนนั้นกิตจับนางถ่างขาและขึ้นเย็ดแบบท่าเบสิกทั้งกระเด้าทั้งกอดจูบ จนนางร้องครางครวญ แล้วไม่นานทั้งคู่ก็เสร็จไปด้วยกัน
ผมมองภาพนั้นด้วยใจที่พยายามจะปลงให้ตกและค่อยๆ ถอยหายเข้าไปในความมืด กลับไปที่ที่ตัวเองควรอยู่ ผมกลับเข้าไปนอนและตื่นมาพร้อมกับทุกคนในวันรุ่งขึ้นตอนเกือบเที่ยง ทำตัวตลกโปกฮาเหมือนปกติทั้งที่จิตใจยังคงวนเวียนอยู่กับภาพบาดตาในคืนนั้น
กิตชวนไปกินอาหารกลางวันที่รีสอร์ทจัดไว้ให้ ทุกคนกินร่วมกันและพูดคุยกันอย่างสนุกโดยเฉพาะสามสาวพี่น้องที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้วพูดคุยกันถึงสมัยตอนเด็ก แต่หลายเรื่องที่เล่าของสามสาว เมื่อนึกดูดีๆมักจะมีผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แล้วจู่ๆ ก้อยก็พูดมาว่า
"นู๋อยากเจอพี่ใหญ่จัง ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนถ้าพี่ใหญ่มาอยู่ทีนี่ด้วย คงสนุกกว่านี้"
คำพูดของก้อยทำเอาเงียบกันทั้งโต๊ะ โดยเฉพาะนาง ที่สีหน้าเปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัดกิตนึกสงสัย ถามนางว่า
"พี่ใหญ่ที่พูดถึงนี่ใครเหรอ"
"อ๋อ ก็เป็นคนพเนจร ที่เคยมาอาศัยทำงานที่บ้านไม่มีความสำคัญอะไรหรอก"
นางบอกกิต ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก
"ไม่นะ พี่ใหญ่ สนิทกับพวกเราจะตายพอเลิกจากทำนาก็ชอบพาพวกเราไปเที่ยวเล่นด้วยกันบ่อยๆ พี่ใหญ่ยังเคยสัญญาว่าจะแต่งงานกับนู๋เลย"
คำพูดของก้อย เหมือนเป็นเรื่องใหม่ที่ ทั้งกลางและนางไม่เคยได้ยินกลางถึงกับสำลักน้ำที่กำลังกินอยู่แล้วหันมามองเขม่นผมแถมเอาเท้ามาเตะสะกิดเหมือนจะถามว่าเคยไปพูดกับยัยก้อยไว้ตอนไหนผมนึกยังนึกไม่ค่อยออกเลย สงสัยเคยพูดกับยัยก้อยไว้ตอนยัยก้อย 10 ขวบมั่งเหมือนตอนนั้นเด็กมันถามก็ตอบเอาใจเด็กไปอย่างนั้นไม่คิดว่ายัยก้อยจะจำมาถึงตอนนี้
ตอนนั้นนางก็กลืนน้ำลายลงคอนิดหน่อยก่อนพูดว่า
"ก้อย เธอจะไปเอาอะไรกับคนแบบนั้น พูดอะไรสัญญากับใครเคยจำอะไรที่ไหนขนาดบอกว่าจะกลับมาเยี่ยมทุกปีตอนวันสงกรานต์แล้วเคยมามั๊ยแล้วตอนที่พ่อกับแม่เสีย เขาเคยโพล่หัวมามั๊ย แล้วเขาบอกว่าเขาจะไปหางานทำงานมีเงินแล้วจะมารับพวกเราไปอยู่ด้วย นี่ผ่านไป 6ปีแล้วไหนละสัญญาที่ให้ไว้ ถึงทำงานไม่มีเงินก็ควรส่งข่าวกลับมาบ้าง แต่นี่ไปแล้วไปลับไม่กลับมาเลยเขาลืมพวกเราไปหมดแล้ว เธอไม่รู้หรือไง จะมาจำอะไรกับคำพูดที่ให้ไว้กับเด็ก"
นางยิ่งพูดอารมณ์ยิ่งขึ้น เหมือนระบายความในใจตัวเองมากกว่าพูดถึงก้อยแต่กลางกลับเถียงแทนผมขึ้นว่า
"พี่ใหญ่ เขาอาจมีความจำเป็นอะไรก็ได้ ที่ไม่มาตอนพ่อกับแม่เสียเพราะหลังจากนั้นเบอร์ที่ติดต่อกันมันก็ไม่มี แล้วพวกเราก็ย้ายออกจากบ้านเขาอาจจะกลับมาแล้วไม่เจอ และอาจกำลังตามหาพวกเราอยู่ก็ได้"
"กลาง ตอนนี้พี่เป็นนักร้องที่คนรู้จักทั่วประเทศนะ ถ้าเขาตามหาเราเขาจะไม่รู้เลยหรือว่าพวกเราอยู่ไหน"
กลางเถียงไม่ออก เลยเงียบไป กิตเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดีพี่น้องจะถกเถียงกันเรื่องไอ้ใหญ่ ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ ก็เลยเปลี่ยนเรื่องชวนคุยว่า
"ตอนนี้แดดไม่ค่อยมี น่าลงเล่นน้ำนะ พวกเราไปเล่นน้ำกันดีกว่า"
แล้วก็ชวนทุกคนไปเล่นน้ำทะเล ทำให้บรรยากาศกลับมาคึกคักอีกครั้ง กลางและแอนรีบไปเปลี่ยนใสชุดบีกินี่ที่ซื้อมาอวดโฉมแข่งกันชุดบีกีนี่ของพวกเธอมันดูโป๊และยั่ว เกินกว่าคนไทยจะกล้าใส่ส่วนใหญ่จะเห็นแต่ชาวต่างชาติที่ใส่แบบนี้ ส่วนนางกับก้อยใส่เพียงขาสั้นและเสื้อยืดธรรมดาจริงๆ ก้อยก็อยากจะใส่บีกีนี่มั่ง แต่นางไม่ให้ใส่และดุห้ามไว้ มาบ่นกับผมมุบมิบๆว่า
"ที่พี่กลางใส่ พี่นางไม่เห็นว่าเลย แต่พอนู๋บอกว่าจะใส่มั่ง พี่นางกลับห้ามนู๋ก็อยากใส่แบบพี่กลางมั่งนี่น่า ดูสิพี่กลางกับพี่แอนดูสวยจะตาย"
ผมมองดูก้อยที่หัวเสียจากนางมานั่งบ่นกับผม รู้สึกว่าเธอ กำลังอยู่ในวัยแหกกรอบไปตามค่านิยมมากกว่าที่จะทำตามพี่สาวในทุกเรื่องเหมือนตอนเด็กๆผมก็เห็นด้วยกับนางที่ไม่ต้องการให้ก้อยโตเร็วหรือแก่แดดมากเกินไป ก็เลยบอกว่า
"ก็น้องก้อย ยังเด็กนี่ฮ่ะ จะไปใส่แบบนั้นได้ยังไงพี่ขลิกว่า น้องก้อยเชื่อพี่นางนะดีแล้ว"
ผมดัดเสียงกระเทย บอกก้อย
"นู๋เด็กที่ไหน พี่ขลิก 18 แล้วนะ ดูนมนู๋สิใหญ่กว่าพี่นางอีกพอๆกับพี่กลางเลยนะ"
"อันนี้ พี่ขลิกไม่เถียง ฮ่ะ คุณน้อง แต่ที่ว่าเด็กหนะหมายถึงความคิดฮ่ะไม่ใช่นม"
"พี่ขลิกอ้า... นู๋นึกว่าพี่จะอยู่ข้างนู๋เสียอีกพอเลยไม่คุยด้วยแล้ว"
ก้อยพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเหมือนโกรธผม แล้วเธอก็ลุกไปจากผมตามพี่ๆไปเล่นน้ำผมเลยนั่งคนเดียวอยู่บนชายหาดดูพวกเขาเล่นน้ำกัน ตอนนั้นผมสังเกตว่ากิตพยายามจะตีสนิทกับสาวๆ ทุกคน โดยเฉพาะกลางกับแอน หากดูเผินๆ ก็จะดูเหมือนเป็นผู้ชายที่อบอุ่นพยายามเอาใจน้องของแฟนเพื่อให้สนิทเข้ากันได้แต่ผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่า กิตติไม่ได้คิดเพียงแค่นนั้น เพราะเวลาที่มันมองกลางและแอนในชุดบีกินี่ผมมักเห็นแววตาที่เหมือนซ่อนอะไรไว้ภายใน แต่นั้นอาจเป็นผมคิดไปเองเพราะเกิดอคติกับมันก็ได้
ตอนนั้นขณะที่ผมกำลังเหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยฉับพลัน เสียงกลางตะโกนเรียกผมอย่างแตกตื่น
"พี่ใหญ่ช่วยด้วย ช่วยไอ้ก้อยเร็ว ไอ้ก้อยจมน้ำ"
ผมตื่นจากภวังค์ มองไปในทะเลเห็นก้อยถูกคลื่นซัดไปห่างจากฝั่งสภาพเหมือนกำลังจะจมน้ำ ทุกคนตกใจทำอะไรไม่ถูกกลางร้องตะโกนเรียกผมไม่ขาด วินาทีนั้น ผมวิ่งจากชายหาดพร้อมถอดเสื้อผ้าผู้หญิงที่ใส่ออกอย่างเร็วจนเหลือกางเกงในตัวเดียวแล้วกระโจนตัวพุ่งลงทะเล ว่ายฝ่ากระแสคลื่นไปหาก้อย
ผมว่ายจ้ำอย่างไม่คิดชีวิตจนเหลือห่างกันไม่กี่เมตรผมจะถึงตัวก้อย แต่ก้อยก็พยุงตัวไม่ไหว จมดิ่งลงไปผมเลยต้องดำลงไปควานหาตัว และในที่สุดก็คว้าตัวขึ้นมาได้ผมรีบพยุงว่ายพาเธอเข้าฝั่ง และปั้มหัวใจผ่ายปอดให้เธอรู้สึกตัวท่ามกลางเสียงร้องไห้ตกใจของกลางและนาง
"ฟื้นสิก้อย อย่าทำอย่างนี้น่า นู่ยังเด็กนะ ไม่ควรมาตายแบบนี้"
ผมพูดพร่ำเรียกเธอ พร้อมกับปั้มหัวใจ แล้วก้มลงไปผ่ายปอดอีกแล้วก็มาปั้มหัวใจ
"ไม่เอาน่า ก้อย เธออยากเจอพี่ไม่ใช่เหรอ พี่ใหญ่ อยู่นี่แล้วเธอฟื้นมาสิ ฟื้นขึ้นมา"
ตอนนั้นผมอยู่ในอารามแตกตื่นลืมตัว กลัวก้อยจะตาย พูดพร่ำเรียกเธอโดยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
วินาทีนั้น ก้อยก็กระอักน้ำออกจากปาก ไอ โขลกๆ รู้สึกตัวขึ้นมาทุกคนรู้สึกยินดีจนจะร้องไห้เพราะรู้ว่าเธอปลอดภัยแล้ว ผมเลยอุ้มเธอขึ้นพาดบ่าเขย่าให้น้ำที่เธอสำลักเข้าไปออกมาให้หมด ตอนนั้นกู้ภัยที่ดูแลบริเวณชายหาดมาพอดีรีบเอาอุปกรณ์ช่วยชีวิตมาใส่ให้เธอ แล้วพาเธอไปส่งโรงพยาบาลทุกคนรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามเธอไปโรงพยาบาล แต่ตอนนั้นนางกลับไม่ขยับไปไหนยืนมองผมนิ่งน้ำตาคลอ ตอนนี้เธอคงรู้แล้วว่าผมคือใหญ่สายตาที่มองมามันแฝงไปด้วยความโกรธความเจ็บช้ำและความคิดถึงคะนึงหาเธอเหมือนมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่ไม่มีอะไรเอ่ยออกจากปากได้แต่ยืนมองผมนิ่งไม่ไหวติง
จนกิตต้องเรียกเร่งให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปดูก้อยที่โรงพยาบาล เธอจึงผละจากผมไปด้วยน้ำตาที่ไหล
เย็นวันนั้นทุกคนไปอยู่ที่โรงพยาบาลกันหมดยกเว้นผมเพราะผมรู้สึกเข้าหน้านางไม่ติด พอหมอบอกว่าก้อยปลอดภัยแล้วไม่มีอะไรให้นอนพักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ทุกคนก็สบายใจลง จากนั้นนางจึงไปถามกลางเรื่องผมรวมถึงเรื่องอาชีพของกลางด้วย เพราะนางแอบสงสัยมาตลอดว่ากลางจะขายตัวไม่อย่างนั้นคงไม่มีเงินส่งให้เธอได้เดือนละหลายหมื่นตอนยังไม่เป็นนักร้อง เมื่อสองเรื่องถูกเค้นมาในคราเดียวมันก็ไม่เหลืออะไรที่กลางจะบ่ายเบี่ยงปิดบังได้อีก ต้องพูดความจริงออกไปนางสะเทือนใจอย่างหนักที่รู้ว่าผมเป็นเอเย่นให้น้องตัวเอง
คืนนั้นนางแอบออกจากโรงพยาบาลมาพบผมที่รีสอร์ทโดยมากับกิตผมเมื่อเห็นเธอกับกิตเข้ามายังที่พักตรงมาหาผม ต้องประหม่าทำอะไรไม่ถูกรีบปั้นหน้ารับ พูดว่า
"ก้อยเป็นยังไงบ้าง"
นางไม่ตอบแต่ตบหน้าผมอย่างแรง จนผมเจ็บสะท้านไปถึงใจนางร้องไห้น้ำตาไหล โวยวายใส่ผมว่า
"พี่ยังเป็นคนอยู่มั๊ย พี่ทำกับกลางอย่างนี้ได้ยังไง พี่ไม่ละอายใจบางเหรอที่ต้องส่งกลางไปนอนกับคนอื่นเพื่อแลกเงิน นางผิดหวังในตัวพี่จริงๆนางไม่คิดเลยว่าพี่จะเป็นคนแบบนี้"
เธอทั้งตบทั้งตีผม ร้องไห้ปานจะขาดใจ เหมือนผิดหวังกับผมอย่างที่สุด ผมรู้สึกว่านางจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วเลยพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนให้นางตบเอา กิตเห็นเรื่องจะบานปลาย รีบมาดึงนางออกจากผม พยายามปลอบนางให้ใจเย็นๆ ไอ้กิตคนนี้ก็ท่าทางก็จะรู้เรื่องทั้งหมดเหมือนกันหันมาพูดกับผมว่า
"คุณไปจากที่นี่เหอะ อย่ามายุ่งกับครอบครัวนี้อีกเลยนะไปตั้งแต่ตอนนี้แหละ และไม่ต้องติดต่อกับกลางอีก นางเขาจะรับน้องเขาไปอยู่ด้วยส่วนคุณก็ไปตามทางของคุณเถอะ"
ผมรู้สึกระอายใจอย่างที่สุด และไม่กล้าสู้หน้าใคร น้ำตามันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้วผมก็ไปเก็บของออกจากที่พัก โดยไม่พูดอะไร กิตกับนางมองดูผมเก็บของจนหมดแล้วตามผมไปถึงหน้ารีสอร์ท เพื่อให้แน่ใจว่าผมไปแล้วจะไม่ย้อนกลับมา
คำพูดสุดท้ายที่นางบอกกับผมคือว่า
"พี่ใหญ่ ถือว่านางขอร้อง พี่ไปแล้วอย่าติดต่อหากลางอีกเลยนะนางไม่อยากให้กลางต้องตกไปอยู่ในวงจรแบบนั้นอีกแล้ว ถ้าพี่ยังคิดถึงความดีที่พ่อนางมีต่อพี่บ้างพี่ก็ปล่อยกลางไปเถอะ"
ผมไม่รู้ว่านางเข้าใจผมแบบไหน แต่ผมไม่อยากอธิบายอะไรอีกแล้ว ผมเองก็ไม่อยากให้กลางขายตัวถ้าผมไปแล้วทำให้กลางได้ไปอยู่กับนางแล้วเลิกอาชีพนี้ได้ผมก็พร้อมจะไป
ดังนั้นผมจึงก้าวจากไปอย่างไม่ลังเล เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่ชีวิตผมต้องเดียวดายและพเนจรสักหน่อย
--------------------------------------------------------------------------------------------
การระหกระเหินครั้งนี้ผมไม่ถึงกับจนตรอกเพราะผมยังมีเงินในบัญชี อีกหลายหมื่นบาท พอให้ผมได้ตั้งหลักหางานใหม่ทำผมยังไม่จากไปจากจังหวัดกระบี่ หางานทำเอาแถวนี้ ผมทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับนางที่ว่าจะไม่ติดต่อกับกลาง โดยการหักซิมโทรศัพท์ทิ้ง แม้ในใจจะรู้สึกคิดถึงกลางกับแอนมากเพียงใดผมก็ต้องทนกับมันให้ได้
เวลาผ่านไปหลายเดือนนางยังคงเป็นนักร้องที่ยอดนิยมที่คนชื่นชอบ ผมยังเห็นเธออยู่ในทีวีและติดตามข่าวเธออยู่ห่างๆ ตอนนั้นผมได้งาน เป็นลูกเรือนำเที่ยว โดยจะคอยเป็นลูกเรือคอยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว
เรือส่วนใหญ่ที่ให้เช่าเป็นเรือยอร์ซ ที่จะมีคนขับและมีลูกเรือติดไป 1-2 คน เพื่อพานักท่องเทียวออกทะเล
วันหนึ่งมีชาวญี่ปุ่นมาติดต่อเช่าเรือ เพื่อเที่ยวชมทะเลและเกาะต่างๆ โดยเช่าเหมาเป็นอาทิตย์โดยชาวญี่ปุ่นที่มาติดต่อ ใส่สูทดำแว่นตาดำท่าทางขึงขัง พูดจาเสียงดังดูแล้วเหมือนพวกยากูซ่าในทีวี
แต่วันที่นัดหมายออกเรือ พวกชาวญี่ปุ่นมากัน3 คน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวอายุไม่มาก ประมาณ 20 กว่าๆ แต่ดูเธอเงียบขรึมและวางตัวอย่างม
อย่างน้อย2ตอนที่ข้อความขาดหายไปไม่รู้มากหรือน้อยแค่ใหนแต่ไม่ครบ
ตอบลบ