กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 15
โดย saradio
หลังจากออกจากที่ประชุมแล้ว งิวฮู ก็บอกให้ผมกลับไปก่อน ตัวมันมีเรื่องอยากจะปรึกษากับนายท่านตั๋งโต๊ะ ผมจึงอำอาควบม้ากลับไปจวนคนเดียว
พอถึงช่วงบ่าย งิวฮู ก็กลับมา สีหน้าอิ่มเอมแลดูมีความสุข มันให้คนมาเรียกผมเข้าไปพบในห้อง พอเห็นผมเข้ามา ท่าทางของ งิวฮู ที่มีต่อผมก็เปลี่ยนไป จากที่เคยเห็นผมเป็นเหมือนลูกน้องหรือบ่าวรับใช้ในบ้าน กลับมีท่าทีให้เกียรติมากกว่าเดิม ถึงกลับกล่าวเชิญผมให้เข้ามานั่ง แล้วเรียกผมว่าท่านกาเซี่ยง แทนการเรียกชื่อธรรมดา
ผมรู้สึกงุนงงสงสัย และอึดอัดกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของ งิวฮู จนทำตัวไม่ค่อยถูกแต่ก็นั่งตามคำเชิญ เมื่องิวฮูเห็นผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็พูดว่า
"ท่านกาเซี่ยง ที่ข้าพเจ้าให้คนไปเชิญท่านมา ก็เพราะมีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ"
ผมต้องกล่าวถามว่า
"ไม่ทราบว่า นายท่าน มีข่าวดีอันใด"
งิวฮู จึงยิ้มอย่างปิติยินดี พูดว่า
--------------------------------------
ที่ลกเอี๋ยนนั้น สิบขันที พอรู้ว่า โฮจิ๋น แอบอ้างออกราชโองการเรียกกำลังหัวเมืองเข้ามาปราบพวกตนและได้ข่าวว่า ตั๋งโต๊ะกำลังเดินทัพมาจะถึง คิดว่าภัยใกล้มาถึงชีวิตแล้ว ก็แค้นโฮจิ๋น จึงคิดจะกำจัดโฮจิ๋นเสียก่อน จึงวางแผนหลอกโฮจิ๋นเข้ามาในตำหนัก เพื่อกำจัดเสีย โดยซุ่มกำลังไว้ หลังประตูทางเดินเข้าตำหนัก แล้วก็ไปกราบทูลพระนางโฮไทเฮา ว่า โฮจิ๋นเรียกกำลังหัวเมืองเข้ามา คิดจะบีบบังคับพระนาง ให้ส่งตัวพวกมันออกไปให้โฮจิ๋น ครั้งนี้เห็นทีจะไม่รอดเป็นแน่แท้ จึงอยากให้พระนางโฮไทเฮาไปขอร้องโฮจิ๋นให้ละเว้นชีวิต พระนางโฮไทเฮา ก็เริ่มเบื่อหน่าย รู้สึกว่าเรื่องราวชักบานปลายจนกองกำลังหัวเมืองยกทัพเข้ามา จึงบอกให้ไปขอร้องโฮจิ๋นเอาเอง เหล่าขันทีฟังดังนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ บอกว่าถ้าออกไปต้องตายเป็นแน่ อยากให้พระนางเรียกโฮจิ๋นเข้ามา จะได้ขอร้องขอชีวิตโฮจิ๋นในตำหนักนี้ต่อหน้าโฮไทเฮา หากโฮจิ๋นไม่ยินยอมต้องการชีวิตก็สุดแล้วแท้แต่โฮจิ๋น พระนางโฮไทเฮา ก็ใจอ่อน รับสั่งเรียกโฮจิ๋นให้เข้าเฝ้า โฮจิ๋นพอได้รับสั่ง ก็จะเข้าเฝ้า ตั้งใจไปตกลงให้รู้เรื่อง แต่โจโฉกับอ้วนเสี้ยวก็ห้ามไว้ว่า ขันทีพวกนี้อาจคิดร้ายลอบซุ่มทำร้ายเอา ถ้าจะเข้าไปให้พวกขันทีออกมาก่อน โฮจิ๋นหยิ่งทะนงตน คิดว่าพวกขันทีไม่มีปัญญาทำอะไรตนได้ ก็ไม่ฟังคำ เดินผ่านประตูเข้าไปในตำหนัก เท่านั้นเองประตูตำหนักก็ถูกปิด คนของเหล่าขันทีก็ออกมารุมฆ่าโฮจิ๋นตายเสีย โจโฉกับอ้วนเสี้ยว เห็นโฮจิ๋นหายไปนาน เห็นผิดวิสัย ก็ตะโกนเรียกให้ออกมา แทนที่โฮจิ๋นจะได้กลับออกมา กลับออกมาแต่หัว ขันทีก็ตะโกนว่า โฮจิ๋นคิดกบฏ เราได้ตัดหัวเสียแล้ว ผู้ใดไม่เกี่ยวข้องกับกบฏครั้งนี้ให้สลายตัวไป ขันทีทั้งสิบคิดว่า หากจัดการโฮจิ๋นได้แล้ว พวกขุนนางจะกลัวแล้วพากันสลายตัวไปเอง ไม่คาดว่า โจโฉกลับร้องป่าวประกาศเสียงดัง "ไอ้พวกขันที บังอาจนัก กล้าลอบสังหารผู้สำเร็จราชการ พวกมันเหล่านั้นเป็นกบฏ เป็นโจรปล้นราชสมบัติ ใครจะตามข้าพเจ้าเข้าไปจับพวกมัน" โจโฉพูดจบ ก็พยายามพังประตูตำหนักโดยใช้ดาบฟัน เหล่าขุนนางเห็นดังนั้นก็รีบลงมือช่วยโจโฉพังประตูเข้าไปหมายจับตัวสิบขันที เหล่าขันทีทั้งสิบ เห็นท่าไม่ดีจึงพากันหนีออกท้ายตำหนัก แล้วพาฮ่องเต้หองจูเปียนกับอนุชาหองจูเหียบหนีไปด้วย โจโฉ อ้วนเสี้ยว และเหล่าขุนนางพร้อมทหารวังหลวงหลายร้อยคน พอพังประตูเข้าไปได้ ก็ไล่เข่นฆ่าพรรคพวกขันทีตายเสียหลายคน ขันทีคนหนึ่งเป็นคนเก็บตราแผ่นดินเอาไว้ มันวิ่งหลงกับพวก พลางสับสนวิ่งวนไปมาหนีไม่ทันถูกทหารวังล้อมไว้ที่ท้ายสวน ขันทีคนนั้นเห็นจวนตัวหนีไม่รอด จึงตัดสินใจโจนลงบ่อน้ำในสวนตาย โดยไม่มีผู้ใดทราบว่า มันได้เอาตราแผ่นดินตกลงไปในบ่อน้ำนั้นด้วย ส่วนโจโฉกับอ้วยเสี้ยวพอไปถึงที่ประทับพระนางโฮไทเฮา ไม่พบฮ่องเต้ ทราบว่าขันทีพาหนีไปแล้ว จึงเชิญเสด็จพระนางโฮไทเฮา ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนชั่วคราวก่อน จากนั้นก็รีบออกตามหาฮ่องเต้ แต่ในเวลาก่อนหน้านั้น ที่กองทัพตั๋งโต๊ะ มันเร่งเดินทัพทั้งกลางวันกลางคืน โดยมีแม่ทัพทั้งหมด 4 คน นั่นคือ ลิฉุย กุยกี หวนเตียว และเตียวเจ ส่วนเตียวสิ้วนั้น ยังประจำอยู่เมืองซีหลงกับงิวฮู เมื่อถึงเขตเมืองลกเอี๋ยน เจอด่านทหารของโฮจิ๋น ที่ตั้งขวางทางป้องกันเมืองหลวงไว้ ตั๋งโต๊ะก็ให้คนนำราชโองการฉบับนี้ไปให้ดู ราชโองการฉบับนี้แม้ไม่มีตราแผ่นดินประทับ ที่บรรดาหัวเมืองต่างๆคิดว่าไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใช้ยึดถืออะไรไม่ได้ แต่กับบรรดาทหารของเมืองลกเอี๋ยนที่อยู่ใต้อำนาจของโฮจิ๋นแล้วย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะถึงไม่มีตราแผ่นดิน แต่ก็มีลายมือชื่อของโฮจิ๋นอยู่ ย่อมไม่มีใครกล้าขัด ทหารโฮจิ๋นจึงยอมเปิดประตูด่าน ให้ทัพของตั๋งโต๊ะผ่านเข้าไป ตั๋งโต๊ะเห็นดังนั้น ก็หัวเราะชอบใจเพราะเป็นไปตามที่ผมเคยพูดไว้ ทำให้มันยิ่งคึกคักกระตือรือร้น ที่จะเดินทัพเพื่อให้ไปให้ถึงเมืองหลวงไวๆ แล้วราชโองการฉบับนั้นช่วยให้ผ่านด่านไปหลายด่าน จนถึงกำแพงเมือง ตั๋งโต๊ะจึงรีบสั่งให้เตียวเจตั้งค่ายหน้าเมือง คุมทหารห้าหมื่นรักษาค่ายคุมเชิงไว้ จากนั้นมันก็นำทหารที่เหลืออีกห้าหมื่นเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยน โดยใช้ราชโองการให้ทหารในเมืองเปิดประตูเมืองให้ เมื่อทหาร 5 หมื่นของตั๋งโต๊ะเข้าเมืองได้แล้ว มันก็รู้แล้วว่าอำนาจในเมืองหลวงตกอยู่ในมือของมันแล้ว ตอนนั้นที่ตั๋งโต๊ะนำทหารเข้าเมืองมา เป็นเวลาเดียวกับที่โฮจิ๋นถูกฆ่าตาย และโจโฉกำลังบุกเข้าตำหนักพระนางโอไทเฮา ไล่จับขันที ตามหาฮ้องเต้ ตั๋งโต๊ะพอรู้ว่า โฮจิ๋นตาย ก็หัวเราะดีใจกึกก้อง บอกว่า "ฮ่าฮ่าฮ่า ฟ้ากำหนดแล้ว ว่าให้ข้าเป็นใหญ่" จากนั้นรีบสั่งแม่ทัพของตน คือลิฉุย กุยกี หวนเตียว ทั้งสามคนแบ่งทหารนำกำลังไปควบคุมพระนครไว้ ส่วนทหารที่เหลือมันให้แบ่งเป็นกองย่อยๆ ออกไปตามหาตัวฮ่องเต้ จนในที่สุดมันก็ได้พบตัว โดยในตอนนั้น โจโฉกับอ้วนเสี้ยวพบก่อน และกำลังจะพากลับเข้าวัง ตั๋งโต๊ะจึงนำทหารไปขวาง และขอตัวฮ่องเต้มา โจโฉและอ้วนเสี้ยวขัดไม่ได้ เพราะตอนนั้นตั๋งโต๊ะใช้ทหารคุมเมืองหลวงไว้หมดแล้ว จำต้องยอมมอบฮ่องเต้ให้ตั๋งโต๊ะเป็นผู้นำพาเสด็จไป และหลังจากนั้นตั๋งโต๊ะก็มีอำนาจในเมืองหลวง ถึงกับปลอดฮ่องเต้หองจูเปียน ตั้งพระอนุชาฮ่องจูเหียบขึ้นมาเป็นฮ่องเต้แทน และตั๋งโต๊ะก็ยังได้ ลิโป้ยอดขุนศึกแห่งยุค ที่ทรยศเต็งหงวนมาเข้าเป็นพวกด้วย และตามมาด้วย แม่ทัพของโฮจิ๋น นามว่าฮัวหยง นำทหารโฮจิ๋นมาสวามิภักดิ์ ทำให้ตั๋งโต๊ะเรืองอำนาจมากที่สุด ในแผ่นดินเวลานี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น